“หมอสุรัตน์” เปิดชัดๆ รูปแบบธุรกิจ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เป็นแบบไหน เตือนสติ เรื่องนี้มันเป็นกรรม และทำให้เห็นธรรมชาติ และความอยากของมนุษย์
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.67 ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์เวชปฏิบัติทางประสาทวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านสมองและความผิดปกติทางประสาทวิทยา และจบปริญญาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…“The Icon ข่าวดังนะ ติดตามมาสัปดาห์นึงละ คนด่ากันเละ บางคนก็บอกว่ามันคือแชร์ลูกโซ่ บางคนบอกคือ MLM (multi level marketing) หรือธุรกิจขายตรง ฟังมาหลายครั้งละ มีคนไข้ ที่ติดตามเพจนี้ ที่ทำ Icon และบอกว่ามันก็สำเร็จได้ด้วย วันนี้ อจ. ก็มาสรุปให้ฟังเป็น ข้อ จากฟัง คิด เอา เพื่อเอาไว้ศึกษา
The Icon Business Model รูปแบบธุรกิจ
1.รูปแบบธุรกิจ (Business model) เป็นธุรกิจขายตรงไหม คือตอบได้ว่าใช่ คือมีตัวแทน มีโครงสร้างแบบเครือข่าย เงินทบกันไปที่หัวหน้าทีม ให้ลูกข่ายขาย แล้วหาลูกข่ายไปเรื่อยๆ ระดับสูง % ยิ่งมาก ดังนั้นทุกคนพยายามไต่ภูเขาไปอยู่ที่สูงเพื่อ passive income
2.แม้ว่า รูปแบบธุรกิจเป็นแบบขายตรง แต่มีการปรับให้ใช้รูปแบบการขาย online แบบยิงโฆษณาโดยรายย่อยแทน ซึ่งตรงนี้ต่างจากของเจ้าอื่นๆ ที่มักใช้การขายแบบตัวต่อตัว การบอกต่อ หรือเครือญาติมากกว่า (เช่น Amway) จำได้ เวลามีเพื่อนขาย Amway มานี่ อจ. บอกมันก่อนเลย ซื้อได้ แต่อย่ามาเอาไปเป็น Down line ไม่งั้นตัดเพื่อน
3.เมื่อยิ่งสร้างลูกข่ายได้เยอะ ก็ยิ่งจะได้เงิน ดังนั้น แม่ทีม จะหาวิธีต่างๆ เพื่อให้คนมาเป็น Down line ให้ได้ เพื่อกินเงินฟรีๆ ลูกข่ายก็จะต้องหาเครือข่ายต่อไป ไม่สิ้นสุด
4.มันคือแชร์ลูกโซ่ (pyramid scheme) ไหม คือ “แชร์ลูกโซ่” ผู้เข้าร่วมทำเงินได้หลักๆ จากค่าธรรมเนียมการชักชวนคนใหม่ ไม่ใช่จากการขายสินค้า เมื่อไม่มีคนใหม่มาร่วม ระบบจะล่มสลาย และผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่จะขาดทุน สรุปคือ หาก The ICON มีการได้ค่าธรรมเนียมการชวนคนเข้ามาใหม่ อันนี้ถึงจะเข้าข่าย ส่วนตัวคิดว่า ไม่เข้าข่ายเสียทีเดียว
5.สิ่งที่ต้องคิดคือ “ธุรกิจขายตรง” แม้ว่าจะมีคนที่เป็นลูกข่ายมาก แต่อัตราการสำเร็จ โคตรต่ำ มาดู สถิติกัน
อัตราความสำเร็จใน MLM (ธุรกิจเครือข่าย) นั้นต่ำมาก ซึ่งงานวิจัยต่างๆ มักจะชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้เข้าร่วมต้องเผชิญ ข้อมูลจากการวิจัยหลายแห่งแสดงให้เห็นว่า:
* น้อยกว่า 1% ของผู้เข้าร่วม MLM สามารถสร้างรายได้ที่มีนัยสำคัญจากธุรกิจนี้
* การศึกษาจาก Federal Trade Commission (FTC) ระบุว่า 99% ของผู้ที่เข้าร่วม MLM ขาดทุน หลังจากรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้า ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
* รายงานจาก Consumer Awareness Institute พบว่า มีเพียงประมาณ 1 ใน 1,000 คน เท่านั้นที่ทำกำไรได้จริง ๆ ขณะที่ส่วนใหญ่ได้กำไรน้อยหรือไม่ได้เลย
นอกจากนี้ หลายคนที่เข้าร่วม MLM ต้องใช้เงินซื้อสินค้าของบริษัท (ซึ่งมักจำเป็นต้องซื้อเพื่อรักษาสถานะการเป็นสมาชิก) มากกว่าที่พวกเขาได้รับจากค่าคอมมิชชั่น ทำให้โอกาสในการทำกำไรลดลง อัตราความสำเร็จที่ต่ำนี้เกิดจากลักษณะของ MLM ที่เน้นการชักชวนคนอื่นเข้าร่วม หากไม่สามารถสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ได้ ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่จึงมักประสบปัญหาในการประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้
The Tactics กลยุทธ์หลายๆ อย่าง เราเห็นทั้งการขายสินค้า เมื่อโป๊ะแตก ก็เห็นแทคติก ทั้งงานแถลงข่าว รายการโหนกระแส การคุยกับทนาย อจ. เห็นมีทั้งกลยุทธ์ในการถามของ “คุณหนุ่ม” และ การตอบของ “Boss พอล” น่าศึกษาครับ
เอา tactic การขายสินค้าก่อนแล้วกัน
เนื่องจาก MLM นั้น เติบโตด้วยการเดินทางของลูกข่ายที่ต้องทั้งขายสินค้า และใช้เองเพื่อคงสถานะ ดังนั้น วิธีขายฝันอันยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น
Tactic การขายและทำธุรกิจ ที่มีมาดั้งเดิม มีอยู่ 2 อัน คือ ให้เชื่อว่าของดี และสร้าง dreaming passion
1.ให้เชื่อว่าของโคตรดี มีหมอคนนึง จะมาชวน อจ. เป็น Downline บอกว่า เข้าสัมนา บ.แอม มา พบว่า ราดลงไป เช็ดทีเดียว จานสะอาดมาก จากนั้นใช้แทคติก การให้ใช้สินค้าเอง คือ The Icon สินค้ามีอะไรบ้าง อืม ไม่เห็นมี R&D เหมือนของ MLM ยี่ห้ออื่นนะ เลย ใช้แทคติกอื่น ๆ ขยายความ
2.สร้าง Passion แรงบันดาลใจ ฝันอันยิ่งใหญ่ ก็หยิบว่า ทำไปแล้ว อนาคตดี เที่ยวเมืองนอก เงินไหลมาเทมา งู้นงี้ ให้สมัครสมาชิกให้ได้
3.แต่เจ้า The Icon มันมี Model ใหม่ คือ ใช้การตลาดนอกจากประชุมสัมมนาขายฝันแล้ว ยังอัด campaign ดารามาเอง เรียงหน้ากระดาน เพื่อดึงคนมาเป็น Down line ให้มากที่สุดนั่นเอง แล้ว การจะดึงดารามา ก็ไม่ยาก ทั้งจ้างเป็น presenter และ ให้ percent ยอดไปด้วย จากยอดขายทั้งหมด ซึ่งคนก็ซื้อไป stock แน่นอน ดาราต่างๆ เมื่อได้ ค่า com ก็เต็มที่ ให้ตำแหน่งเหมือนจะบริหาร แม้ไม่ได้อยู่ในโครงสร้างกรรมการบริษัทหรือมีหุ้นตามกฎหมายก็ตาม แต่ก็ได้มีสัดส่วนตามสัญญาเหมือนมีหุ้น
4.ใช้วิธีขายสินค้าขาด แล้วสอนทำการตลาด online คืออันนี้ ไม่รู้ “Boss พอล” รู้หรือไม่รู้ แต่ว่า อัตรา MLM นั้น สำเร็จต่ำมาก ยิ่งไม่มี catalog สินค้าที่หลากหลายพอที่จะโชว์แบบ Amway ได้ เลยใช้การสอนการยิงโฆษณา แต่คือ จะไปยิง Ads ได้ไงฟะ สอนแป้บเดียวเนี่ยนะ แล้วระดับความรู้คนเข้าร่วมหลากหลายมาก ไม่มีทางที่จะศึกษาโครงสร้าง Ads หรือ การวาง Funnel Marketing ได้เลย แค่สอนทำ Tiktok ยิง Ads อาหารเสริมแบบ Basic เรียกว่า ไปตายใน Red ocean ชัดๆ
5.เมื่อเป็นแบบนี้ เราไม่เห็นโฆษณาสินค้าหรอก เพราะกลุ่มแม่ค้า เค้าไม่ได้ยิง ads เป็นจริงๆ มันซับซ้อนกว่าแบบ ใส่ๆ เงินยิง แต่โฆษณา หาคนมาเป็น Down line ดีกว่า ระบายของได้ด้วย อิ อิ
6.ถามว่าคนสำเร็จมีจริงไหม คือมันมี แต่มันกลายเป็นธุรกิจแบบ Topline to Downline แทน คือได้เงินจากลูกข่ายที่ซื้อ stock แล้วลูกข่ายก็ไปหาลูกข่ายอีกที โดยที่ขายของไม่ได้ เพราะการตลาดแบบ online มัน red ocean อย่างที่บอก และก็ยิงโฆษณาได้แบบ งูๆ ปลาๆ
7.คนที่ขายสินค้าได้จริงๆ คิดว่า ก็คงมี เพราะทำโฆษณาเป็น หรือไม่ก็ทำแบบขายแบบเหมือน Amway ไป ก็ได้เหมือนกัน แต่ % สำเร็จ อาจไม่ได้มากนัก เพราะบริษัทแม่ เน้นขายดารา มากกว่า สินค้าจริงๆ (คิดว่า งบบริษัท ไม่ยิงโฆษณาเองเท่าไหร่นะ หากยิง จะต้องเห็นมากกว่านี้)
8.ส่วนดารา ขายของพอเป็นพิธี ไม่มาก แต่เน้นขาย Downline ให้คนสมัครสมาชิกมากกว่า ใช้ความอยากรวย การเปลี่ยนชีวิตเข้าล่อ
Tactic การเผชิญหน้า เมื่อเกิดเรื่อง
1.“Boss พอล” หายหน้าไปหลายวัน คือไปวางแผน คุยทนาย เก็บหลักฐาน และคิดกลยุทธ์เอาตัวรอด ปล่อยให้คนอื่น ออกมาก่อน เพื่อเปิดหน้า แล้วตามแก้ทีหลัง
2.“คุณบอย” ออกมาแบบแมนๆ เดี่ยวๆ ไม่มีทนาย คิดว่า “พี่หนุ่ม” ก็คงช่วยแนะนำแหละมั้ง “น้องมีน” นี่ออกมาแบบชุดขาว ร้องไห้ ฉันบริสุทธ์ ส่วน “แซม” อันนี้ เก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ส่วนที่หนักสุกเป้น “Boss กันต์” ที่รับบท Boss โฆษณา เต็มๆ feed
3.วันนี้เลย รายการโหนกระแสก่อนนะ เปิดมาด้วยร้องไห้ก่อนเลย อันนี้ ใช้ Feeling นำ แล้วมีการ story telling ก่อน มีคนจำนวนนึงสงสาร ถามว่า เสียใจจริงไหม อันนี้ไม่ทราบ แต่นักแสดงทำได้ทุกอย่าง ครั้งนี้ คิดว่า Boss กล้าออกโหนกระแส เตรียมกระบวนการตอบมาอย่างดีแน่ๆ
“ผมไม่รู้ ผมสู้กับอะไร ผมยอมแล้ว”
ได้เงินเป็นพันพันล้าน ดูเส้นทางการได้เงินก็รู้แล้ว สู้กับสิ่งที่ทำลงไปไง การบอกยอมแล้ว เป็นแค่การยกน้ำตาและความอ่อนยอม ให้คนอื่นใจอ่อน
4.เช่น “คุณหนุ่ม” ถามว่า โครงสร้างธุรกิจเป็นแบบ พิรามิดหรือไม่ “คุณพอล” ตอบว่า หมายความว่าอย่างไร เป็นการตอบ เพื่อไม่ให้หลงกล เพราะ คำว่า Pyramid scheme คือแชร์ลูกโซ่ นั่นเอง แต่กลับตอบตีรวนกลับ ทำหน้ามึน โดยบอกว่า บริษัทไหนก็มี โครงสร้างแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ อีก Business structure ของบริษัทอื่นๆ ไม่ได้มี Downline เป้นโครงสร้างแบบนี้
5.สร้างภาพคนดี ทำบุญ เชื่อบุญบาป ตั้งกลุ่มเยียวยาต่างๆ และเอาคืนดาราที่ผันตัวเป็นผู้เสียหาย โยนเผือกร้อนออกไป เบี่ยงประเด็นให้ความผิดตกกับ บรรดาแม่ข่าย
6.หากดีจริงๆ ไม่น่าเอาผู้ก่อตั้งที่ fake แบบ นักเทคนิคการแพทย์แต่โฆษณาว่าเป็นหมอมาร่วม
สรุป
เป็น “ธุรกิจขายตรง” ที่เปลี่ยนรูปแบบให้ เป็นการให้ลูกข่าย โฆษณา online แต่ระบบพัง เพราะเข้า course ก็ทำ online marketing ไม่เป็น จึงกลายเป็นธุรกิจที่โตจากการให้ลูกข่ายลงทุน
ใช้ “ดารา” ชักจูง อันนี้ ผิดศีลธรรมดารามากเลย แต่ดารามีศีลธรรมหรือเปล่า หลอกแฟนคลับ ตัวเอง เปิดบิล ผิดไหม ต้องดูกฎหมาย ธุรกิจขายตรง อันนี้ ตัว “Boss พอล” ส่วน “ดารา” จะถูกพ่วงไปด้วย ในฐานะคนชักจูง
ถ้า The Icon ย้อนไปใหม่ควรทำไง
-เอาจริงๆ Business model ตอนแรกไม่แย่นะ เพราะก็ถือว่า เป็น Gap ที่ขายตรง ไม่ค่อยมี Online แบบกระจายตัวแบบนี้
-ควรให้ดาราขายของ ไม่ใช่ขายแค่ความเป็นดารา มาชักจูงคนเข้ามาสมัครเป็นลูกข่าย ว่าขนาดดารายังเข้ามาเลย มารวยกันเถอะ อยากเที่ยวกับดาราไหม สร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัท
-รับจ้าง ตั้งทีม ยิงโฆษณา แบบ มืออาชีพให้ลูกข่าย แต่ละจังหวัด เจาะเป็น Region ไป +/- มีหน้าร้าน แต่ละจังหวัดชัดเจน ทำเป็น hybrid online / offline
-เอางบที่มี มาทำ R&D ซะ ซื้อ license ผลงานวิจัย รัฐ มาทำสินค้า เพื่อ up คุณภาพ
อ้า แต่มันสายไปเสียแล้วสินะ
เรื่องนี้ มันเป็นกรรม และทำให้เห็นธรรมชาติ และความอยากของมนุษย์ ทุกฝ่าย ไม่มีคนโกหกแล้วได้ดีหรอก”
– อจ สุรัตน์