น่าเสียดาย “บิ๊กตู่” เป็นทหารแท้ ๆ กลับไม่เอาความคิดเชิงยุทธศาสตร์และการปฏิบัติทางยุทธวิธีมาสู้กับ “โควิด” จึงถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์จนแทบหมดสภาพ
แทนที่จะใช้ “สติ” แก้ปัญหา กลับให้บริวารออกมาฟาดงวงฟาดงาแบบคนใช้ “อารมณ์”
เอ้า..!! มี “สติ” กันหน่อย นายกรัฐมนตรีควรใช้ “ภววิสัย” แก้ปัญหา นั่นคือ เข้าถึงข้อเท็จจริงมากที่สุด ทุกแง่ทุกมุม แล้วนำมาวิเคราะห์ แก้ไขให้ถูกจุด ที่สำคัญต้องยอมรับความจริงของตัวเอง แต่ถ้าแก้ปัญหาโดยใช้อารมณ์ ก็จะยิ่งซ้ำเติมตัวเองให้แย่ลงไปเรื่อย
ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับโควิด ต้องทำพร้อมกัน 3 ทางคือ
1.ป้องกันไม่ให้เชื้อข้ามชายแดนเข้ามาระบาดในประเทศ
2.ค้นหาและนำตัวผู้ติดเชื้อ เข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็วที่สุด พร้อมกับป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อในประเทศ
3.หาวัคซีนมาฉีดให้เร็วที่สุด
แต่ในสภาพความจริงในทุกวันนี้ เป็นเป็นไปในทางตรงกันข้าม
1.การป้องกันชายแดนล้มเหลว เพราะยังการลักลอบข้ามเข้ามาเรื่อย ๆ ล่าสุด จับแรงงานต่างด้าวแอบข้ามมาจากมาเลเซีย ซึ่งติดเชื้อโควิดอัฟริกาและอินเดีย 5 คน หากบางส่วนที่ติดเชื้อโควิดและเล็ดรอดการจับกุมไปได้ ก็มีโอกาสแพร่เชื้อในไทย เหมือนกับแรงงานพม่าและเขมรที่เอาเชื้อโควิดอังกฤษมาแพร่ในระลอก 2 และ 3 ทำให้คนไทยตายเป็นเบือ
2.การค้นหาและนำตัวผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็วที่สุด รวมถึงการป้องกันการแพร่เชื้อภายในประเทศ กำลังล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเห็นจาก จำนวนผู้เสียชีวิตแต่ละวันเกิน 20 คน ตัวเลขนี้บอกให้รู้ว่า ตอนนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากจนระบบดูแลไม่ไหว หมอไม่มีเวลารักษาแบบประณีตเหมือนแต่ก่อน คนไข้จึงตายเป็นใบไม้ร่วง ในเรื่องนี้ไปโทษหมอไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นผลสะเทือนจากการป้องกันชายแดนและการป้องกันภายในประเทศล้มเหลว
3.การหาวัคซีนล้มเหลว แทนที่จะเปิดไฟเขียวให้เอกชนนำเข้าวัคซีน 2 ยี่ห้อคือ Moderna และ Sinopharm รวมกัน 7 ล้านโดสตามที่ตกลงกันไว้ แต่หลังจากเชิญตัวแทน Moderna มาพูดคุย เพียงไม่ถึงชั่วโมง Moderna ก็เปลี่ยนใจปฏิเสธไม่ให้เอกชนโดยตรง
“บิ๊กตู่” เคยอยากรู้ไหม..?? เขาคุยอะไรกัน ทำไม..?? Moderna ถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยตกลงจะขายให้เอกชนแล้ว และเอกชนได้มารับปากกับ ศบค. ว่าจะนำเข้า 7 ล้านโดส เรื่องนี้คล้าย ๆ กับกรณีหน้ากากตอนโควิดระบาดใหม่ ๆ แถม “ตัวละคร” ก็หน้าเดิม ๆ
แล้วที่น่าขำก็คือ วัคซีน Sinovac ซึ่งมี “เสี่ยใหญ่” ไปถือหุ้น รัฐบาลกระดี้กระด้า รีบเอาเงินหลวงไปซื้อมาฉีดให้คนไทย โดยไม่บอกให้รู้ว่า เป็นวัคซีนที่ยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก
ส่วนวัคซีนดี ๆ ที่องค์การอนามัยโลกรับรอง กลับไม่ใส่ใจไปหามาฉีด เรื่องแดงขึ้นมาก็ตอนที่ อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของบริษัทไฟเซอร์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูกเบิร์กว่า “ไฟเซอร์จัดโควตาวัคซีน 1,000 ล้านโดส เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสั่งซื้อ ทั้งส่งจดหมาย อีเมล์ โทรศัพท์ติดต่อเชิญชวน แต่ส่วนใหญ่เมินเฉย แตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว สั่งจองอุตลุด”
“บิ๊กตู่” อ่านข่าวนี้แล้วไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ??? แต่สำหรับคนไทยแล้วรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง
เมื่อคนไทยไม่ไว้วางใจวัคซีน ผลที่เห็นก็คือ ลงทะเบียนจองคิวต่ำกว่าเป้าหมาย ทางสาธารณสุขและหมอลูกกะเป๋งรัฐมนตรี ก็โทษว่า สื่อมวลชนกระพือข่าวจนคนกลัววัคซีน เมื่อฉีดแล้วจะชักดิ้นชักงอตาย
แต่ในข้อเท็จจริง ประชาชนกลัววัคซีนที่ไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกต่างหาก ถ้าสั่งนำเข้า “ไฟเซอร์” สัก 100 ล้านโดส เชื่อว่า คนจะแห่ไปฉีด แล้วอย่ามาอ้างว่า ไฟเซอร์ราคาแพงจึงไม่อยากซื้อ เพราะ อัลเบิร์ต บูร์ลา บอกแล้ว จะขายให้ครึ่งราคาสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนประเทศด้อยพัฒนาจะขายให้ในราคาทุน
วันนี้ “บิ๊กตู่” ล้มเหลวทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ คือ ป้องกันเชื้อข้ามชายแดนไม่ได้ ค้นหาคนและป้องกันการแพร่เชื้อภายในประเทศไม่ทัน และไม่มีปัญญาซื้อวัคซีนดี ๆ มาฉีดให้คนไทย แถมยังกีดกันไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนซื้อมาฉีดเอง
ถ้า “บิ๊กตู่” ยังไม่คิดตีฝ่าวงล้อม เร่งล้างบางขบวนการลักลอบขนแรงงานข้ามชายแดน และรีบซื้อวัคซีน ก็ให้ระวังดี ๆ เพราะ “วิกฤติโควิด” มีโอกาสเปลี่ยนเป็น “วิกฤติบิ๊กตู่”
แล้วอย่าเสียเวลาไปทะเลาะกับสื่อโซเชียล เพราะยิ่งทะเลาะก็ยิ่งเท่ากับทำให้เรื่องความล้มเหลวของตัวเองฟุ้งกระจายมากยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงกันข้ามใส่ตัวเร่งปฏิกิริยา Catalyst เพื่อให้สถานการณ์ไปถึงจุดสุกงอมเร็วขึ้น
อ้อ..!! แล้วขอแก้ไขข้อมูลใน “สมองนายกรัฐมนตรี” หน่อย เลิกสับสนได้แล้ว สื่อโซเชียล เป็นคนละพวกกับสื่อมวลชน หากต้องการด่าสื่อโซเชียล ก็ด่าไป อย่ามาพาดพิงสื่อมวลชนให้หมางใจกันเปล่า ๆ
เขียนหนัก ๆ ขนาดนี้ ก็หวังว่าเป็นการฉีดวัคซีน เพื่อให้นายกฯได้ “สติ” ถึงจะเจ็บและเป็นไข้ แต่ช่วยป้องกันโรคและทำให้รอดตายได้จริง ๆ.
#ดินสอโดม
