วันอังคาร, เมษายน 16, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS“โควิด”ก้าวหน้า แต่“รัฐไทย”ล้าหลัง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“โควิด”ก้าวหน้า แต่“รัฐไทย”ล้าหลัง

หากมองโควิดเป็นข้าศึกที่โถมกำลังเข้าโจมตีประเทศไทย ระลอกแล้วระลอกเล่า คำถามก็คือ เราเคยวิเคราะห์รูปแบบการโจมตีของโควิดหรือยัง

เพราะอ่านเกมไม่ขาด มองรูปแบบการโจมตีของโควิดไม่ออก การตั้งรับอาจจะล้มเหลวหรือแพ้สงครามในที่สุดและเท่าที่นับได้ โควิด บุกโจมตีประเทศไทยไปแล้ว 3 ระลอก

ระลอกแรก โควิดแอบลักลอบเข้ามากับนักท่องเที่ยวชาวจีนและฮ่องกงช่วงต้นปี 2563 ในเวลานั้นคนไทยตั้งตัวไม่ทันเพราะไม่รู้ว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ที่มีความร้ายแรงต่อมนุษยชาติ “บิ๊กตู่” จึงเลือกใช้ยาแรง นั่นคือล็อกดาวน์ ปิดบ้านปิดเมืองปิดร้านเหล้า เพื่อลดการติดต่อระหว่างคนกับคน ปิดสนามบินไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามา

ผลก็คือ สกัดโควิดได้สำเร็จ แต่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่หลังจากไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประเทศไทยปราศจากโควิด รัฐบาลจึงอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวในเมืองไทยช่วงปลายปี 2563 ทุกอย่างเริ่มฟื้นตัว

cr / ธนาคารแห่งประทศไทย

ระลอกสอง ระหว่างที่คนไทยหลงใหลได้ปลื้มกับคำชมเชยของชาวโลก ในฐานะเป็นประเทศที่สกัดกั้นและปราบปรามการรุกรานของโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปรากฏว่า หญิงขายบริการที่ข้ามไปหากินในบ่อนท่าขี้เหล็ก หนีโควิดระบาดในพม่ากลับมาฝั่งไทย และเอาเชื้อมาแพร่ให้กับนักเที่ยวนักเล่น และนักเล่นก็ไปแพร่ต่อที่บ่อนระยอง

ขณะเดียวกันคนในเครื่องแบบลักลอบนำเข้าแรงงานเถื่อนจากพม่า จึงไม่ผ่านมาตรการกักตัวและตรวจโรค จากทั้ง 2 กรณี เปิดช่องให้โควิดจึงแอบย่องเข้ามาก่อความวุ่นวายที่สมุทรสาครและระยอง “บิ๊กตู่” ลงดาบข้าราชการ ส่วนสาธารณสุขไล่ตามตะครุบผู้ติดเชื้อจนเหลือแค่หลักสิบ

ระลอกสาม เกิดขึ้นขณะที่ทุกคนชะล่าใจ นึกว่าเอาอยู่ ที่ไหนได้ โควิดแอบย่องมาทางชายแดนเขมร แฝงมากับนักเล่น และนักเล่นไปแพร่ให้กับสาว ๆ ในเลานจ์ทองหล่อ ก่อนจะส่งผ่านเชื้อไปให้รัฐมนตรีและไฮโซ ในระลอกนี้เกิดการระบาดใหญ่จนไม่เหลือพื้นที่จังหวัดปลอดภัยอีกต่อไป

ถ้าสังเกตให้ดี รูปแบบการเข้าโจมตีของโควิดทั้ง 3 ระลอก แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ รอบแรก แฝงตัวมากับ นักท่องเที่ยวทางเครื่องบิน เมื่อปิดกั้นสนามบินและปิดสถานที่ท่องเที่ยว ก็สกัดกั้นการบุกได้สำเร็จ ส่วนรอบสองเข้าทางชายแดนพม่า แฝงมากับ หญิงขายบริการ และ แรงงานเถื่อน มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่บังเอิญผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็น แรงงาน ไม่เคลื่อนที่ไปไหน กลไกรัฐจึงล้อมปราบโควิดได้ง่าย

แต่ในระลอกสามมีรูปแบบแตกต่างไปจากทั้ง 2 ระลอกก่อนหน้า เชื้อจากเขมรมีการกลายพันธุ์ แพร่เร็วกว่าเดิม 1.7 เท่า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการและไม่รู้ว่าติดเชื้อแล้ว จึงเพ่นพ่านไปทั่ว นอกจากนี้การแพร่เชื้อในหมู่ไฮโซและผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีการเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา ยิ่งทำให้เชื้อแพร่กระจายรุนแรงเป็นทวีคูณ

รับศึกผ่านมา 3 ระลอก น่าจะมีประสบการณ์สู้รบพอสมควร เช่น โควิดจะมุดเข้ามาในประเทศตามจุดที่กลไกรัฐอ่อนแอ เมื่อแพร่ไปยังกลุ่มชนชั้นใด ก็จะขยายจำนวนไปตามพฤติกรรมและวิถีชีวิตของชนชั้นนั้น

เมื่อรู้เช่นนี้ น่าจะป้องกันไม่โควิดเข้าประเทศโดยจัดการกับกลไกรัฐที่อ่อนแอด้วยมาตรการเด็ดขาด และตามไล่ตะครุบตัวผู้ติดเชื้อตามพฤติกรรมและวิถีชีวิต

แต่น่าเสียดายที่ ศบค. ยังล้าหลัง สวนทางกับ โควิด ที่พัฒนาไปมากแล้ว โดยเฉพาะ สายพันธุ์บราซิล ซึ่งกลายพันธุ์เพิ่มขีดความสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าเดิม 2.5 เท่า แล้วแว่ว ๆ มา ยาและวัคซีนอาจจะเอาไม่อยู่ วันนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลคิดแผนป้องกัน

www.thaigov.go.th

มาถึงวันนี้ “บิ๊กตู่” ควรจะตกผลึกได้แล้วว่า เชื้อที่ร้ายยิ่งกว่าโควิดก็คือ ผลประโยชน์ ที่ทำให้กลไกรัฐเหลวไหล เปิดช่องให้โควิดแอบมุดเข้ามาได้ตลอด ส่วนสาธารณสุขยังทำงานแบบเดิม ๆ ไม่คิดปรับเปลี่ยนเกมรุกให้สอดคล้องพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย

อย่าปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขนาดผู้คนสิ้นหวัง หาทางดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันแบบวันต่อวัน.

#ดินสอโดม

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img