อีกเดือนเศษ!! บรรดาผู้นำของประเทศสมาชิกเอเปก หรือ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ทั้ง 21 ประเทศ จะตบเท้ามาร่วมประชุมที่ประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพเป็นครั้งที่ 3
บรรดาท่านผู้นำของประเทศสมาชิก ที่ยืนยันชัดเจนว่าจะร่วมขบวนการประชุมครั้งนี้แน่ ๆ ก็มีทั้ง ผู้นำจากสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เช่นเดียวกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ หรือนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
ขณะที่ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก และสหรัฐฯ ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำได้ เพราะติดภารกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจร่วมงานแต่งงานหลานสาวของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ
ด้านประธานาธิบดีจีน อย่าง “สีจิ้นผิง” แม้ยังไม่ชัดเจน ว่าจะเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตัวเองแน่ ๆ ก็ยังมีเงื่อนไขห้อยท้ายว่า ถ้าไม่ติดภารกิจจะเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตัวเองแน่นอน
ส่วนประเทศสมาชิกอื่น ก็อยู่ระหว่างการประสานงาน เพื่อดูลู่ทางโดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนเดินทางเข้าร่วมการประชุมครั้งสำคัญในวันที่ 18-19 พ.ย.นี้
สถานที่จัดงานการประชุมหลัก จะอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ขณะที่รัฐบาลเองก็ประกาศให้ในช่วงการจัดงานเป็นวันหยุดราชการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ก็เพื่อลดความแออัดคับคั่งของการจราจร ลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การประชุมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 1 เดือนเศษ ๆ ข้างหน้า ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสมาชิก และเปิดกว้างในด้านการค้า การลงทุน
ที่สำคัญ!! ยังรวมไปถึง การเดินหน้าจัดทำความตกลงการค้าเสรีเอเปก ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันในแง่ของไทยเอง ก็จะหยิบยกเรื่องการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือบีซีจี ขึ้นมาหารือ เพราะกำลังเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
โดยก่อนหน้านี้ ก็มีเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปกในหลาย ๆ เวที ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ทั้งรมต.การค้าเอเปก รมต.คลังเอเปก และอีกหลายรัฐมนตรี รวมไปถึงเวทีเอเปก ซีอีโอ ซัมมิท ซึ่งเป็นเวทีการประชุมของภาคเอกชนจากทั้ง 21 ประเทศ ด้วยเช่นกัน
เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก มีขนาดใหญ่ถึง 60% ของจีดีพีโลกและมีการส่งออกมากถึง 69% ของการค้าโลก จึงปฎิเสธไม่ได้ว่า…เขตเศรษฐกิจเอเปกแห่งนี้ ย่อมมีผลต่อโลกใบนี้ไม่น้อยเช่นกัน
ทั้งนี้เอเปก มีจุดแข็งที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการทางการเงิน รวมถึง จุดแข็งด้านอาหาร ที่ไทยมีจุดเด่นด้านความมั่นคงของอาหารในเวทีโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ในเรื่องของ การท่องเที่ยว ที่ไทยตั้งความหวังไว้มากว่าจะเป็นตัวบู๊ตเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ที่สำคัญ เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจไทยสามารถผงกหัวขึ้นมาหายใจได้มากยิ่งขึ้น
เป้าหมายสำคัญ!! ของการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเมืองไทยในปีนี้ ตั้งไว้ที่ 10 ล้านคน
ล่าสุด ในช่วง 9 เดือน ของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมกว่า 5.69 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวสะสมกว่า 2.22 แสนล้านบาท
นักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 985,617 คน รองลงมาคือ อินเดีย 569,020 คน สิงคโปร์ 314,437 คน เวียดนาม 217,033 คน และสปป.ลาว 264,554 คน
ส่วนนักท่องเที่ยวจีน ทั้งที่เคยครองแชมป์มาเที่ยวไทยมากเป็นอันดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมด เมื่อปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด กว่า 11.13 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5.31 แสนล้านบาท
แต่ล่าสุดในปี 65 นี้มีนักท่องเที่ยวจีนสะสมเพียงแค่ 1.55 แสนล้านคน เท่านั้น!!
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากทั้งรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา อย่าง “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” หรือแม้แต่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. เอง ก็ตาม
ที่ได้ตั้งความหวังไว้ว่า…ประธานาธิบดีจีน “สี จิ้นผิง” จะประกาศข่าวดีให้กับประเทศไทย ในโอกาสที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกที่ไทย โดยอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยได้
ทั้งหมด…เป็นได้เพียงแค่ “ความคาดหวัง” เท่านั้น เพราะการเดินทางมาไทยของประธานาธิบดีจีนเอง ยังไม่แน่ชัด ส่วนแนวโน้มของข่าวดีก็ต้องไปรอฟังผลจากการประชุมสมัชชาใหญ่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในวันที่ 14-16 ต.ค.นี้ก่อน ว่าจีนจะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับโควิด-19 ต่อไปอย่างไร
หากฝันเป็นจริง!! นักท่องเที่ยวจีนกว่า 1.5 ล้านคนจะหลั่งไหลเข้าไทยแน่ ๆ ในเดือนธ.ค.นี้ และนั่นหมายถึงโอกาสที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากถึง 12 ล้านคน ก็ไม่ไกลเกินฝัน
…………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
