ในที่สุด…พ.ร.ก.พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้ทรงเกียรติ เป็นที่เรียบร้อย ด้วยคะแนน 270 ต่อ 196 งดออกเสียง 1 และไม่ลงคะแนนเสียง 1
ขั้นตอนต่อไป ก็รอให้ วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ ก่อนเสนอให้ครม. พิจารณาเห็นชอบต่อไป แม้พ.ร.ก.กู้เงินฉบับที่ 2 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ตาม
อย่างที่รู้ๆกันอยู่แล้วว่า เงื่อนไขของพ.ร.ก รอบใหม่นี้ จะนำไปใช้ใน 3 แผนงานด้วยกัน ทั้ง แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ วงเงิน 30,000 ล้านบาท
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง วงเงิน 300,000 ล้านบาท
สุดท้าย คือ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานหรือโครงการ เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค วงเงิน 170,000 ล้านบาท
มาถึงตรงนี้…คงต้องถามว่า ใน 5 แสนล้านบาท นี้ มีกี่หน่วยงาน มีกี่โครงการ ที่รอจ้องตะปปงบก้อนใหม่นี้ และโครงการเหล่านี้จะช่วยเยียวยา ช่วยฟื้นฟู เศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด
เพราะอย่าลืมว่า… พ.ร.ก.กู้เงินฉบับแรก 1 ล้านล้านบาท แม้รัฐบาลได้ออกมาการันตีว่า สามารถประคับประคองเศรษฐกิจ ให้อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้!! แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังไม่มีตัวเลขใดออกมายืนยันผลของการกู้เงิน
แถมล่าสุด!! ครม.ของบิ๊กตู่ เพิ่งเห็นชอบให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ว่าจ้างที่ปรึกษาติดตามประเมินผลแผนงานหรือโครงการภายใต้พ.ร.ก.กู้เงินที่ว่า วงเงิน 37.9 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถติดตาม ประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างที่บอกการออกกฎหมายกู้เงินทั้ง 2 ฉบับนี้ สุดท้ายแล้ว ประชาชน ก็ต้องเป็นผู้จ่ายหนี้คืนทั้งหมด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาฝ่ายค้าน หรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาล เอง จะตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยสารพัด ถึงรัฐบาล
ในเชิงเกมการเมือง…
ก็ว่ากันไป!! แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาล ก็ต้องโชว์ฝีมือให้เห็นว่า ที่อนุมัติโครงการไปแล้วตามพ.ร.ก.กู้เงิน ฉบับแรก นั้นส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร?
ที่สำคัญ ประชาชนคนไทย ได้รับผลจากเงินกู้ 1 ล้านล้าน มากน้อยเพียงใด แม้รัฐบาลมีสารพัดโครงการที่ออกมาเยียวยา ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถึง 5.5 แสนล้านบาท
แต่ 5.5 แสนล้านบาท นั้นถึงมือ คนไทยมากน้อยแค่ไหน? ขณะที่เงินกู้ก้อนใหม่ ที่มีเงื่อนไขจะนำมาเยียวยาคนทั้งประเทศ อีก 3 แสนล้านบาท จึงกลายเป็นคำถาม ที่หลายฝ่ายต่างรอคำตอบ!!
ขณะที่การส่งให้ฝ่ายการเมืองอย่าง “ธนกร วังบุญคงชนะ” เลขาฯรมต.ประจำสำนักนายกฯ และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือศบศ.
แม้จะเป็นข้อเสนอของสภาพัฒน์ ในฐานะเลขานุการศบศ. ภายใต้เหตุผล ที่ว่า… เพื่อทำหน้าที่ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริงแก่สื่อมวลชน รวมทั้งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
ตามความเป็นจริงแล้ว ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องพ.ร.ก.เงินกู้ ทั้ง 2 ฉบับ ที่ร้อนแรงอยู่ในเวลานี้ ผนวกเข้ากับความสั่นคลอนของฐานะการคลัง ที่รายได้เก็บได้น้อย เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ยิ่งทำให้กระแสเชื่อมั่นของ “บิ๊กตู่” ยิ่งลดน้อยถอยลง
ยิ่งเมื่อส่ง “คนการเมือง” เข้ามาหวังสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน แทน “ข้าราชการ” ที่ทำทุกเรื่องกับมือ!! ก็ยิ่งทำให้ทุกฝ่ายมองว่า… เป็นเกมที่รัฐบาลพยายามแก้!! เพื่อรักษาคะแนนนิยม
ก่อนหน้านี้…แม้สารพัดมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมา จะโดนใจคนไทยไม่น้อยโดยเฉพาะการ “แจกเงิน” ผ่านสารพัดโครงการ ก็ตาม
แต่ด้วยการบริหารจัดการ “วัคซีน” ที่เวลานี้กำลังยุ่งเหยิง ได้กลายเป็น “เชื้อไฟ” อย่างดี ที่คอยโหมไหม้ใจของคนไทยลงไปทุกวัน ทุกวัน
ด้วยเหตุนี้!! คงต้องมารอดูกันว่า การบริหารเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ครั้งนี้ จะช่วยดับไฟในใจของคนไทยได้มากน้อยเพียงใด!!
…………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
