วันพุธ, เมษายน 24, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSหวั่นถูกปลดพ้นผบ.ตร. ''บิ๊กปั๊ด''เลิกเล่นบทชิ่ง''หลบฉาก''
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

หวั่นถูกปลดพ้นผบ.ตร. ”บิ๊กปั๊ด”เลิกเล่นบทชิ่ง”หลบฉาก”

คงจะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผู้กุมอำนาจฝ่ายบริหาร ถ้าใครติดตามการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร. ) เลยได้เห็นการปรับรูปแบบการทำงานของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ซึ่งก้าวเข้ามารับตำแหน่ง ผบ.ตร. คนที่ 13  ต่อจาก “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งเกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 63

ยิ่งหลายคนเชื่อว่า  สาเหตุสำคัญที่ไวรัสร้าย “โควิด-19” กลับมาระบาดรอบใหม่ เกิดจากการลักลอบเปิดบ่อนการพนันหลายพื้นที่ และนำเข้าแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งสองปัญหาที่เกิดขึ้น “ตร.” ในฐานะเป็นหน่วยงาน ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเท่าเทียมกัน และดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ต้องมีส่วนรับผิดชอบไปเต็มๆ

แม้จะมีคำชี้แจงว่า การดูแลพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และช่องทางธรรมชาติ มีหลายหน่วยงานเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งฝ่ายปกครองและทหาร เนื่องจากเกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคง แต่ ตร.ก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้อยูดี

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์

ขณะที่เมื่อวันที่ 14ม.ค.ที่ผ่านมา “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมกลุ่มขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวว่า ตรวจสอบพบขบวนการขนแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง 33 คน

แบ่งเป็นตำรวจกว่า 20 คน ตั้งแต่ระดับสัญญาบัตรจนถึงชั้นประทวน สูงสุดระดับ รอง ผบก. ที่เหลืออีกกว่า 10 คน เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ

ทั้งหมดมีพฤติการณ์ทั้งปล่อยปละละเลย มีส่วนร่วมในขบวนการลำเลียงแรงงานผิดกฎหมาย เตรียมเสนอให้ผบ.ตร. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในวันที่ 18 ม.ค. รวมทั้งพิจารณาว่ารายใดจะเข้าข่ายความผิดทางอาญา หากไม่เข้าข่ายความผิดอาญาก็จะพิจารณาลงโทษทางวินัยและทางปกครอง

การออกมาแถลงข่าวครั้งนี้เท่ากับยอมรับว่า มีผู้รักษากฎหมายสวมเครื่องแบบสีกากี เข้าไปเกี่ยวข้องกับการนำแรงงานเถื่อนเข้ามาในราชอาณาจักรไทย แต่ยืนยันว่า ตร.ในฐานะผู้กำกับนโยบาย ไม่ได้ปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำความผิด และพร้อมลงโทษพวกนอกแถวอย่างเต็มที่

เช่นเดียวกับปัญหาการลักลอบเปิดเล่นบ่อนการพนันในพื้นที่ต่างๆนั้น “พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์” โฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องบ่อนการพนันในหลายพื้นที่ว่า หลังมีการโยกย้ายตำรวจตั้งแต่ระดับ ผบช. ผบก. และ 5 เสือโรงพักไปแล้วนั้น ในส่วนของเจ้าของบ่อนการพนัน ยืนยันตำรวจสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ หากชัดเจนต้องออกหมายเรียกและหมายจับตามขั้นตอน ไม่ได้ละเลยในเรื่องนี้ อีกทั้ง ผบ.ตร. สั่งการให้เอาผิดผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ต้องเอาผิดตัวการให้ได้

ภาพ / สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าเจ้าของบ่อนพนันรายใหญ่ หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ยังไม่ยืนยัน แต่ตำรวจปิดช่องทางการหลบหนีทุกทางอยู่แล้ว ทั้งช่องทางธรรมชาติและช่องทางปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนพนัน การลักลอบเข้าเมือง ประกอบกับเป็นช่วงโควิดที่ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่ง่ายหากคิดหลบหนี” กระบอกเสียงองค์กรสีกากีออกมายืนยัน

อย่าลืมว่า ทั้งปัญหาการเดินทางเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว และการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ถือเป็นประเด็นสำคัญที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะนำไปอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณกลางเดือนก.พ. 64

และอาจส่งผลทำให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต้องเดินหน้าล้างบางการทำงานในตร. โดยเฉพาะการโยกย้ายนายตำรวจ ซึ่งบกพร่องในการทำงาน เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์บางอย่าง

ยิ่งถ้าหน่วยงานที่ทำหน้าที่รักษากฎหมาย และดูแลความสงบเรียบร้องในบ้านเมืองยัง ไม่สามารถตอบข้อสงสัยจากสังคมได้ ในเรื่องร้อนๆที่เกี่ยวข้องกับภารกิจตนเอง อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจเสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ไม่ให้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพหมู่บ้านกระสุนตก จากศึกซักฟอกที่กำลังจะเกิดขึ้น

ยิ่งหลายภาคส่วนในสังคมต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเข้าไปทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร. )ว่า เมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตร. เพื่อให้กลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

เช่นเดียวกับ “บิ๊กปั๊ด” หลังจากถูกวิจารณ์ว่า ชอบเล่นบทอยู่เบื้องหลัง ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มอมเข้าอยู่ “หน้างาน” เวลามีเรื่องร้อนๆเกิดขึ้น เหมือนแนวทางการทำงานของผบ.ตร.ในอดีต จนมีข่าว “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ปลื้ม “แม่ทัพสีกากี” ปรารถกับคนใกล้ชิด ผู้รักษากฎหมายทำงานไม่เหมือนนายตำรวจบางคน “ที่กล้ายอมตายแทนกูได้” จนกลายเป็นสัญญาณที่เตือนว่า ถ้า พล.ต.อ.สุวัฒน์ ไม่ปรับรูปแบบในการทำงาน อาจต้องถูกโยกย้ายก่อนเกษียณอายุราช ทั้งๆ ที่เวลาการทำงานถึง 2 ปี

แม้กระทั่งองค์กรสื่อ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ “ตร.” ยังตั้งฉายา บิ๊กปั๊ด ว่า เป็น “ผบ.หลบฉาก” ซึ่งถือเป็นเรื่องลบ สำหรับผู้นำหน่วย เหมือนกับว่า ไม่กล้าสู้ปัญหา ชอบหลบเลี่ยงเวลาเกิดเรื่องร้อนๆเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสังคมเริ่มได้เห็น การปรับรูปแบบการทำงานของ แม่ทัพสีกากี เดินหน้าลงพื้นที่ ลุยชนกับปัญหามากขึ้น ไม่ยอมหลบฉากเหมือนเดิม ทั้งเดินทางไปติดตามการทำงานตำรวจ บริเวณด่านชายแดนด้านแม่สอด จ.ตาก   ลงไปสอบสอนผู้ต้องหา ที่เกี่ยวข้องกับ “เคนมผง” ยาเสพติดรูปแบบใหม่

อีกทั้งเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.คลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้เดินทางมาร่วมประชุมกับนายตำรวจระดับสูง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง เกี่ยวกับเรื่องที่มีการ์ดของผู้ชุมนุมนำธงชาติลง แล้วเปลี่ยนผ้าแดงเขียนเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสาแทน

เพราะหลังจากเรื่องนี้ ถูกเผยแพร่ไปในโลกโซเชียล และสื่อแขนงต่างๆ ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในมุมลบ  ซัดว่าปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิด ในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่

โดย ผบ.ตร. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า “วันนี้มาด้วยวัตถุประสงค์ 3 เรื่อง โดยเรื่องแรก ที่ชาวบ้านตั้งคำถามว่าปล่อยให้เกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไรต่อหน้าต่อตา เรื่องที่สอง จะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการแบบนี้ และเรื่องที่สาม คนที่ทำผิดจะต้องโดนอะไรบ้าง” 

พร้อมทั้งย้ำว่า ผู้บังคับบัญชาทุกระดับตั้งแต่ตนลงมา จะต้องมาพบปะทำความเข้าใจกับลูกน้องว่าเรื่องแบบนี้จะให้เกิดอีกไม่ได้

“ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังก็ต้องใช้ อะไรจะเกิดต้องเกิด และพวกเราก็ยอมรับผิดและรับผิดชอบ เราไม่ทอดทิ้งกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะมันกระทบกระเทือนของความรู้สึกคนทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะเพลี่ยงพล้ำในพื้นที่การข่าวก็ว่าไป แต่อย่างที่บอกว่าสงครามมันยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหาร”

จากนั้นจะเห็นว่า ผู้รักษากฎหมายปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มข้น ยึดถือกฎหมายอย่างเคร่งครัด ระหว่างมีการชุมนุมของ “กลุ่มราษฎร” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าศูนย์การค้าสามย่านมิดทาวน์ และหน้าศูนย์การค้าจามจุรีสแควร์ ระว่างวันที่ 16-17 ม.ค.ที่ผ่านา

ต้องจับตาดูว่า หลังจาก แม่ทัพสีกากี ปรับรูปแบบในการทำงาน ลุยเดินหน้าชนเรื่องร้อนๆ จะช่วยลดแรงกระแทกที่มีต่อตัวเอง และองค์กรต้นสังกัดได้หรือไม่ อย่าลืมว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เคยมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับองค์กรสีกากีมาแล้ว ช่วงเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 49  ท่ามกลางข้อครหาเรื่อง “เกียร์ว่าง” ของผู้รักษากฎหมายบางคน 

แต่เชื่อเถอะ “บิ๊กปั๊ด” คงไม่อยากถูกจารึกชื่อว่า ถูกปลดพ้นจากตำแหน่ง ก่อนเกษียณอายุราชการแน่ๆ

……………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย.. ”แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img