วันศุกร์, เมษายน 26, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS“ทักษิณ”พร้อมจะกลับมารับโทษจำคุก! “สำนึกผิด”...หรือแค่“หวังผลเลือกตั้ง?”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ทักษิณ”พร้อมจะกลับมารับโทษจำคุก! “สำนึกผิด”…หรือแค่“หวังผลเลือกตั้ง?”

ทำเอาเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองเป็นวงกว้าง สังคมข่าวตีความกันยกใหญ่ ประเมินว่าประเด็นที่เกิดขึ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง หรือเป็นเป้าประสงค์ของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัยติด ที่ต้องกลายสถานะเป็น “นักโทษหนีคดี” 

แต่ก็ยังมีบทบาททางการเมืองต่อเนื่อง นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) จนมาถึงยุค เพื่อไทย (พท.) ที่หวังจะทำให้การแสดงท่าทีจุดยืนของตนเอง มีส่วนหนุนส่งทำให้ “เพื่อไทย” คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้ตามความความคาดหมายที่ได้ตั้งเป้าไว้   

โดยเฉพาะการประกาศเข้าสู่กระบวนยุติธรรม ไม่หวังพึ่งการออกกฎหมายล้างผิดแบบในอดีตที่ผ่านมา ที่นำมาสู่หายนะเกิดขึ้นกับรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องมีอันเป็นไป ถูกต่อต้านจากมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของ “กปปส.” จนนำมาสู่การถูกรัฐประหาร 

ส่งผลทำให้เครือข่ายของ กลุ่มอำนาจเก่า ต้องหลุดพ้นจาก ยึดครองอำนาจรัฐมา 8 ปี

ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น “นายทักษิณ” คงปล่อยให้พรรคพท. แพ้อีกไม่ได้แล้ว ต้องทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งผลักดันบุตรสาวสุดที่รัก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลงสู่สนามเลือกตั้ง จึงไม่แปลกที่การออกมาพูดหรือส่งสัญญาณ จะถูกตีความไปในด้านใดด้านหนึ่ง

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “สำนักข่าวเกียวโด” ของญี่ปุ่นรายงานว่า “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศว่า เขาพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในไทย แลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.จะออกมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม  

ทักษิณ ชินวัตร

โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ขณะอดีตนายกฯพำนักอยู่ที่กรุงโตเกียว ซึ่งกำลังพิจารณา ช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นภายในปีนี้หลังการเลือกตั้ง และพร้อมที่จะรับโทษจำคุก โดยเขาหวังว่าจะยื่นอุทธรณ์ในบางคดี

“ตอนนี้ผมติกคุกใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องไปทนทุกข์ในคุกเล็กอีก ก็ไม่เป็นไร แม้มันไม่ใช่ราคาที่ผมจำเป็นจะต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่าย เพราะผมอยากอยู่กับหลานๆ ผมควรใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับลูกๆ หลานๆ” ทักษิณกล่าว

อดีตนายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องความปลอดภัยของเขาก็เป็นหนึ่งในประเด็น ที่ต้องนำมาพิจารณา เพราะเขาเผชิญกับ ความพยายามในการลอบสังหารมาแล้วถึง 4 ครั้ง เมื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ยืนยันว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ใช่ทางเลือกเพื่อพาเขากลับบ้าน

“ผมบอกกับลูกสาวว่า อย่ายอมให้พรรคพท. ผลักดันให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผม เพราะมันไม่จำเป็น คนที่ต่อต้านผม จะไม่พอใจ และกฎหมายต้องมีไว้สำหรับคนทุกคน ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่ร่างขึ้นมาเพื่อให้ทหารสามารถครองอำนาจอยู่ต่อไป” นายทักษิณกล่าวและว่า การการกลับมารับโทษจำคุก ไม่ถือเป็นการทรยศต่อผู้สนับสนุนที่ต่อสู้เพื่อเขา ทั้งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา และในการชุมนุมที่เกิดขึ้นมากมาย

เพราะเขาไม่ได้ยอมรับว่าตนเองทำผิด แต่เป็นเพราะ อคติของระบบในอดีตที่รังแกเขา แต่ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือกับลูกๆ “ผมอยากกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว พวกเขาและผมต่างทนทุกข์กันมามากแล้ว”

ต้องถือว่า บทสัมภาษณ์ดังกล่าวสร้างความฮือฮาได้มากพอสมควร แม้อดีตนายกฯจะออกมายืนยันว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะมีบทสรุปอย่างไร ก็จะเดินทางกลับมารับโทษในบ้านเกิดเมืองนอน

แต่หลายคนเชื่อว่า ถ้า “พท.” ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นายทักษิณคงไม่เดินทางกลับ เพราะ ขั้นตอนการรับโทษ น่าจะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ การขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วย ดังนั้นถ้าหากเป็นรัฐบาลที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกับพรรค ที่เป็นเครือข่ายของตนเอง อาจมีปัญหาในขั้นตอนทางกฎหมาย  

อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร

ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ในฐานะผู้เป็นพ่อ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่น ว่าพร้อมกลับประเทศไทยภายในปีนี้และรับโทษนั้นว่า ได้คุยกับนายทักษิณแล้ว เราก็ได้คุยในครอบครัวตลอด

พร้อมระบุอีกว่า ถ้าเหตุการณ์ปกติที่คดีต่างๆ ดำเนินไปตามปกติ ไม่ใช่หลังรัฐประหาร ก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ แต่ที่ต้องเป็นแบบนี้ หากกระบวนการยุติธรรม ยุติธรรมมันก็ดี อย่างไรก็ตาม เคารพการตัดสินใจของนายทักษิณอยู่แล้ว เพราะเขาออกไปนอกประเทศนานแล้ว และเป็นกำลังใจให้

“อิ๊งพูดจากใจเลยว่า อิ๊งเปลี่ยนความจริงไม่ได้ที่ อิ๊งเป็นลูกของคุณพ่อ และอิ๊งก็ไม่อยากจะเปลี่ยนด้วย ฉะนั้นการนำพรรค พท. ต่อไปสำหรับการเลือกตั้ง และยื่นนโยบายสู่ประชาชนเป็นหน้าที่หลัก ซึ่งเราจะทำต่อไป ในสิ่งที่คุณพ่อพูด ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นและเป็นผลอย่างไร ก็อยากให้เป็นส่วนของท่าน เพราะท่านพูดอยู่แล้วว่า การที่จะกลับมาหรืออะไรก็ตาม ไม่เกี่ยวกับพรรคพท. และบอกว่าจะไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น คุณพ่อพูดมาก่อนหน้านี้ตั้งหลายเดือนแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่” น.ส.แพทองธารกล่าว

แม้ว่า “อุ๊งอิ๊ง” จะยืนยันว่า การเดินทางกลับของบุพการี ไม่เกี่ยวกับพรรค พท. แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า อดีตนายกฯออกมาพูดถึงการเดินทางกลับมารับโทษ เกี่ยวข้องกับหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อหวังปลุกให้คนที่ยังชื่นชม ช่วยเทคะแนนเสียงให้มากขึ้นไปอีก เพื่อให้นำไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะได้ผลักดัน สิ่งที่ต้องการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา นายทักษิณ มีคดีที่ถูกพิพากษาไปแล้ว 4 คดี หากกลับเข้าประเทศไทย ตามที่ประกาศ จะมีโทษถูกจำคุก เหลืออีก 10 ปี จากทั้งหมด 12 ปี เพราะ 1 ใน 4 คดีนี้ปัจจุบันหมดอายุความแล้ว โดย 4 คดีดังกล่าว ประกอบด้วย

คดีที่ 1 คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่มีการกล่าวหา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายทักษิณ (นามสกุลขณะนั้น) และนายทักษิณ ในการซื้อที่ดินจำนวน 33 ไร่ 78 ตร.ว. ราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาสถาบันระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

โดยก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะพิพากษาคดีดังกล่าว นายทักษิณได้เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากที่เดินทางกลับมา ภายหลังพรรคพลังประชาชน (พปช.) ชนะเลือกตั้ง โดยอ้างว่า ไปดูการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศจีน และ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ทำให้ศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษาลับหลัง จำคุกนายทักษิณ 2 ปี และยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ปัจจุบันคดีดังกล่าวหมดอายุความแล้ว

คดีที่ 2 คดีให้นอมินีถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม โดยศาลพิพากษารวมโทษ จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา แบ่งเป็น ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี

คดีที่ 3 คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือ หวยบนดิน ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยศาลฎีกาฯพิพากษา จำคุกนายทักษิณ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คดีที่ 4 คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม)

โดยศาลฎีกาฯเห็นว่า นายทักษิณสั่งการให้ Exim Bank อนุมัติเงินกู้ดังกล่าว ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อให้นำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้า และบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น

ปิยบุตร แสงกนกกุล

ด้าน “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องกรณีคุณทักษิณ : ไม่ติดคุก ไม่นิรโทษ ต้องลบล้างผลพวงรัฐประหาร ดำเนินคดีใหม่อย่างเป็นธรรม แสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าว โดยระบุตอนหนึ่งว่า ยังคงยืนยันตามเดิมว่า การดำเนินคดีคุณทักษิณ โดยใช้องค์กรและกระบวนการที่เริ่มต้นจากรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ไม่เป็นธรรมต่อคุณทักษิณ ผมเห็นว่า จนถึงวันนี้ คุณทักษิณไม่ต้องติดคุก

และเช่นเดียวกัน ก็ไม่ควรมีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณด้วย แต่หนทางที่ถูกต้อง เป็นธรรมต่อคุณทักษิณ และยืนอยู่บนหลักการ ก็คือ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ ที่เสนอไว้ เมื่อ 12 ปี  โดยก่อนต้องทำโดยผ่านการแก้ไขเพิ่มเติม รธน.

คำถามคือ “พรรคพท.” จะกล้าผลักดันให้มีการแก้ไขรธน. ในประเด็นล้มล้างผลพวงรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 หรือไม่ เพราะดูไปก็คล้ายการออก “พรบ.นิรโทษกรรม” เพื่อล้างผิดอยู่ดี หรืออาจมองว่ากระแสต่อต้านปลุกไม่ขึ้น

ซึ่งต้องบอกว่า บางครั้งกระแสความรู้สึกของคนไทยประเมินยาก อาจพลิกได้ตลอดเวลา ถ้าได้รับข้อมูลเพิ่มเติม และเชื่อในสิ่งที่ได้รับ คงต้องมาวัดกัน

การประกาศขอมารับโทษของ “นายทักษิณ” จะมีผลต่อการเลือกตั้ง และถ้าผลพลิกผัน ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง “นายทักษิณ” ยังจะยืนยันกับสิ่งที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติหรือไม่ !!!

ขณะที่ “สมชาย แสวงการ” สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ออกมาให้ความเห็นว่า หลักเกณฑ์การขอลดโทษของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่เคยใช้อำนาจเลื่อนชั้นนักโทษเส้นดีเฉพาะราย แบบ 3 วาระรวด เพื่อช่วยบางคนบางกลุ่ม ให้เข้าเกณฑ์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษแบบเดิมๆ นั้น ทำไม่ได้แล้ว จะต้องเข้าเกณฑ์ใหม่รับโทษให้สังคมปลอดภัยก่อนอย่างน้อย 1 ใน 3 ของคำพิพากษาถึงที่สุด

นายทักษิณต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับ นักโทษเด็ดขาดทั่วไป คือ ต้องรับโทษจำคุกก่อนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 8 ปี สุดแต่ระยะเวลาใดจะเป็นคุณมากกว่า จากโทษที่ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ยังไม่หมดอายุความเหลืออยู่ 10 ปี

นายทักษิณจะต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดจำคุกในเรือนจำ 3 ปี 6 เดือนก่อน จึงจะเข้าเกณฑ์ขอเลื่อนชั้นเป็นนักโทษชั้นดี ชั้นดีเยี่ยม ชั้นเยี่ยม เพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษได้ต่อไป

จากนี้ต้องรอดูว่า การออกมาประกาศยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของ “นายทักษิณ” จะเป็นแค่หวังผลในการเลือกตั้ง หรือสำนึกผิดแล้วจริงๆ

……………………                                                            

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img