วันพุธ, เมษายน 17, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSเปิดปมร้อน...“ศึกบิ๊กสีกากี” สงครามตัวแทน“ผู้มากบารมี”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปิดปมร้อน…“ศึกบิ๊กสีกากี” สงครามตัวแทน“ผู้มากบารมี”

ดุเดือดเข้มข้นไม่แพ้ “ศึกซักฟอก” ในสภาฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นไป คงหนีไม่พ้น สงครามใหญ่ ที่เกิดขึ้นใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่งมี บิ๊กสีกากี” ที่มากบารมีเข้ามาเกี่ยวข้อง งานนี้เดายากจริงๆ ไม่รู้ว่าบทสรุปจะจบลงอย่างไร

เมื่อแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องล้วนมีอำนาจ มากบารมี ได้รับการสนับสนุนจาก “บุคคลสำคัญ”  ถ้าใครเดินเกมพลาด นอกจากจะต้องปิดฉากชีวิตการรับราชการ อาจต้องถูกดำเนินคดี มีวิบากกรรมตามมา จนชีวิตแทบจะหาความสุขไม่ได้ ยิ่งใครชอบเล่นของร้อน ก็อาจพลาด โดนความร้อนลวกมือ เข้ามาได้ 

อย่างวันนี้ใครจะเชื่อว่า นายตำรวจที่มีภาพดี ไม่เคยมีข้อครหาใดใด ถูกยกให้เป็นนายตำรวจสายธรรมมะ” ยิ่งไปไล่ดูโปรไฟล์ยิ่งไม่ธรรมดา สำหรับนายตำรวจชื่อ บิ๊กต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. จะต้องเผชิญบทตรวจสอบครั้งสำคัญ แม้จะยังไม่รุนแรงถึงขั้นกระทบหน้าที่การงาน แต่หลายคนเชื่อว่า หนทางไปสู่ดวงดาว หวังจะได้รับผลักดันให้เป็น แม่ทัพสีกากี” ในอนาคต อาจต้องเผชิญอุปสรรคและขวากหนามมากพอสมควร

ก่อนหน้านั้นมีข่าว  ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพลช่วงเดือนเมษายน 64  “บิ๊กต่อ” อาจได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ผช.ผบ.ตร. จากนั้นเดือนตุลาคมปีเดียวกัน จะมีโอกาสลุ้นเก้าอี้ “รองผบ.ตร.”  เพื่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วน กับการเข้ารับตำแหน่ง “ผบ.ตร. ในอนาคต ซึ่ง “บิ๊กต่อ” จะเกษียณอายุราชการในปี 2567 เพียงแต่ว่า เมื่อมีบางเรื่องราวเกิดขึ้น จนกลายเป็นคดีความ งานนี้คงต้องรอพิสูจน์ความจริง 

จุดเริ่มของเรื่อง ที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับ “บิ๊กต่อ” คงหนีไม่พ้น กรณี “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.(สส.) ก็มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ 0001 (สส) 150 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่องให้รายงานชี้แจง พล.ต.ท.รอย อิงคโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. (สส1), ผบช.ภ.6 เพื่อทราบ 

กรณีได้สั่งการให้ ผบช.ภ.6 ให้สอบสวนและเสนอชื่อข้าราชการตำรวจ 2 นาย เพื่อตั้งคณะกรรมการการสอบสวน หลังจากพยาน ในคดียาเสพติดไอซ์ 1,500 กก. ที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 62 ให้การว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ ผบช.ภ.6 ยังไม่ได้ดำเนินการ และในสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการไม่มีการสอบสวนในประเด็นดังกล่าว

รวมทั้งไม่มีการเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวถึงมาให้ถ้อยคำ หรือ แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย

หรือดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อทราบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการกระทำผิดตามที่พยานกล่าวอ้าง จึงให้ ผบช.ภ.6 ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ภายในวันที่ 12 ก.พ. 64 นี้

โดยเฉพาะตามบันทึกใน ข้อ 2 ระบุว่า…กรณีปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การของพยานในคดีได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสืบสวนสอบสวนว่า มีผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดประกอบด้วย 1.นายยง 2.พ.อ.นายหนึ่ง 3.น.ส.เฟื่องฟ้า 4.น.ส.ทักษินันท์ 5.น.ส.หลิน 6.นายฐาปนันท์ 7.นายตำรวจยศ ‘พ.ต.อ.’ และ 8.นายตำรวจยศ ‘พล.ต.ท.’

เพราะเหตุใดพนักงานสอบสวนจึงสรุปสำนวนการสอบสวน มีความเห็นเสนอพนักงานอัยการโดยไม่ได้ดำเนินคดีการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว ไม่เรียกบุคคลที่ถูกกล่าวถึง มาให้ถ้อยคำ หรือแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย 

เลยนำมาสู่ข้อสงสัย และเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนายตำรวจยศ “พ.ต.อ.” และ “พล.ต.ท.” มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไร ทำไมถึงไม่มีการขยายผลในการสอบสวน ทั้งที่เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 62 ซึ่งผ่านพ้นมานานพอสมควร 

อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ มอบหมายให้ พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ โตอดิเทพย์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ปทส. ในฐานะคณะทำงานป้องกันยุทธการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเฉพาะทาง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.พุฒินันท์ นาสุวรรณ สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป เพื่อดำเนินคดีต่อเพจข่าว “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หลังเผยแพร่ข่าวและภาพพร้อมข้อความอันเป็นเท็จ โดยมีการนำเอกสารหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้พิจารณา

พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ ระบุว่า ผบช.ก.ได้มอบอำนาจให้มาแจ้งความดำเนินคดี ฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณาต่อผู้โพสต์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพจเฟซบุ๊กชื่อสนับสนุนปฏิรูปตำรวจ ที่นำภาพ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์มาเผยแพร่คู่กับข้อความ และหนังสือราชการที่มีเนื้อหาไม่เป็นความจริง เนื่องจากกรณีนี้ทาง บช.ภ.6 มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปแล้วบางส่วน ซึ่ง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรื่องที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด จึงถือเป็นการกระทำเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง

นอกจากนี้ ใน เพจที่นี่ประเทศไทย” ได้เผยแพร่การตรวจสอบข้อความ การเดินทางของ บิ๊กต่อ” โดยทาง พ.ต.อ.วรัณรพีร์ อิสริยพัฐ ผกก.ฝ่ายประมวลผล ศก.ตม. ได้ทำบันทึกข้อความ รายงานตรวจสอบข้อมูลการ เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร ของพล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ว่าได้มีการเดินทางออกจากราชอาณาจักรผ่านช่องทางด่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา หรือช่องทางด่าน ตม.จว.ตาก หรือไม่ ตามหนังสือ บช.ก.ลับ ที่ ๐๐๒๖.๑๗๑/๗๗ ลง ๑๖ ก.พ.๖๔

ทั้งนี้จากการตรวจสอบจากระบบสารสนเทศ สตม.แล้ว ไม่พบข้อมูลการเดินทางของ “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก.” ในการเดินทางผ่านช่องทางด่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา หรือช่องทางด่าน ตม.จว.ตาก ในระบบฐานข้อมูลแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามจากปมข้อสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. สั่งการให้ “พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก” รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วย “พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม” ผบช.ปส. ลงพื้นที่ไปตรวจสอบกรณีดังกล่าว พร้อมสืบสวนสอบสวนขยายผล ทั้งในคดีสมคบกันกระทำความผิด ในคดียาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับบางส่วนยังจับกุมไม่ได้ ก็ให้เร่งติดตามตัว โดยต้องรายงานผลให้ ผบ.ตร. ทราบภายในสัปดาห์นี้

การตรวจสอบครั้งนี้ เลยถูกจับตามองว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ นายตำรวจระดับสูง ซึ่งมีข่าวจะได้รับการผลักดัน ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ในอนาคต ขณะเดียวกันสื่อบางค่ายก็เกาะติดเรื่องนี้อย่างเข้มข้น ดังนั้นหนทางที่ใครจะทำให้ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวจึงยากพอสมควร

อีกทั้งในระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 19  กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  

“นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (กก.) อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะกำกับดูแล ตร. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ตอนหนึ่งระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แต่กลับละเลยการดูแลปัญหา 

จนเกิดปัญหา เรื่องตั๋วตำรวจ ตั๋วที่มีแล้วจะได้ทุกอย่าง ซื้อตำแหน่งได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม และมีการทำหนังสือราชการ เป็นตั๋วจาก คนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอสนับสนุนการขอรับตำแหน่งให้กับนายตำรวจบางนายข้ามหน่วยงาน 

ถามว่าอาศัยกฎหมายอะไร เพราะการแต่งตั้งมีขั้นตอน ตามกฎระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว ถามว่าพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร รับทราบเรื่องนี้หรือไม่ รวมทั้งการเลื่อนขั้นนายตำรวจบางนายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก.ตร. ทำให้คนทำงานเสียกำลังใจและทำลายระบบคุณธรรมของตำรวจ 

ดังนั้น ข้อกล่าวหาคือ นายกฯ และพล.อ.ประวิตร ปล่อยให้ บุคคลภายนอก ตร. เข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ทำให้ตำรวจจำนวนมากต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยอื่น ซึ่งตั๋วที่ตนรวบรวมมานั้น มีทั้งของผบ.ตร. พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง “ตั๋วช้าง”

มีรายงานระบุด้วยว่า ในระหว่าง นายโรม” อภิปราย ได้เตรียมนำเอกสารบางแผ่น ที่มีลายเซ็นบุคคลสำคัญ มาแสดงด้วย แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ทำหน้าที่ประธานฯในที่ประชุม นอกจากนี้ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” พร้อมด้วยเครือข่ายยังจัดกิจกรรม “ม็อบตำรวจล้มช้าง” หน้าตร. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พุ่งเป้าโจมตีรัฐบาล ชี้ว่าตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย แม้ผลงานดี  ถ้าไม่วิ่งเต้นก็อยู่กับที่ ถ้าไม่มี “ตั๋วช้าง”

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมายืนยันว่า ไม่มีความขัดแย้งภายใน ตร. แต่บางครั้งเอกสารบางอย่าก็ไม่ควรจะออกมา เพราะเป็นเรื่องการดำเนินการภายในของตัวเอง เคยชี้แจงไปแล้วว่า ใครจะเสนออะไรมาก็ได้ แต่ก็เป็นเรื่องการพิจารณาของตร.ในฐานะประธานก.ตร. ก็ได้อนุมัติตามที่ คณะกรรมการ ก.ตร.เสนอขึ้นมา ซึ่งคณะกรรมการมีหลายคณะ และมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบคัดกรองคุณสมบัติต่างๆด้วย ไม่ใช่ว่าขออะไรมาแล้วก็ได้หมด 

ต้องจับตาดูว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ บิ๊กสีกากี” จะจบอย่างไร จะมีใครต้องรับผิดชอบกับเอกสารสำคัญที่หลุดออกมาหรือไม่ หรือปมร้อนที่เกิดขึ้นเป็น สงครามตัวแทน ที่เชื่อมโยงกับ “บุคคลสำคัญ แต่ไม่ว่า จะมีนัยยะอย่างไร แต่ก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกของนายตำรวจ ที่ไร้เส้นสายได้มากพอสมควร

…………………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย “แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img