เล่นบท“ฆ่าน้อง-ฟ้องนาย-เดียวดาย” ศึก‘บิ๊กแป๊ะ-บิ๊กวิน’แย่งคุมเมืองหลวง

ไม่ว่าด้วยเหตุผลลกลใด จะเป็นเพราะอยากทำงานต่อในฐานะ “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” (ผู้ว่าฯกทม.) หรือไปอะไรเห็นบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเป็นความไปของเมืองหลวงประเทศไทย

จึงไม่ใช้เรื่องแปลก ถ้า “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” หรือใครชอบเรียกติดปากว่า “บิ๊กวิน”จะดิ้นรนขอลงชิงชัยในตำแหน่งสำคัญอีกครั้ง หลังเข้ามามีบทบาทในการบริหารงาน กทม. ทั้งฐานะ รองผู้ว่าฯกทม. ในสมัย “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” เป็นคนดูแลเมืองหลวง จนกระทั่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ออกคําสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 64/2559 ลงวันที่ 18 ต.ค. 2559 ปลด “คุณชายสุขุมพันธ์” จากตำแหน่งพร้อมแต่งตั้ง “บิ๊กวิน” ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ กทม.

นับรวมแล้วก็เกือบ 7 ปีเต็ม กับการได้รับโอกาสเข้ามาบริหารงานเมืองหลวงประเทศไทย จนมีความรู้สึกไม่อยากปล่อยวาง กับอำนาจทางการเมืองที่ถืออยู่ เลยมีสถานะเป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่ออยู่ในอำนาจก็ยึดติด มีตำแหน่งก็ไม่อยากลุกง่ายๆ เลยมีข่าวว่า ถ้ามีการเปิดเวทีให้ชิงชัยเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. โดยผ่าน กระบวนการเลือกตั้ง อยากเสนอตัวลงชิงชัยในตำแหน่งเจ้าพ่อเมืองหลวงอีกครั้ง

เพียงแต่ว่า ความปรารถนาที่จะเป็นตัวแทน “พลังประชารัฐ” (พปชร.) หรือ ลงสมัครไม่สังกัดพรรค แต่ได้พรรคแกนนำรัฐบาลให้การสนับสนุน คงยากที่จะเป็นไปได้ ในเมื่อเคยมีข่าว “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้า พปชร. ได้ยืนยันให้การสนับสนุน “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. ซึ่งจะลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.แบบอิสระ ซึ่งส.ส.กทม.พรรคแกนรัฐบาลต่างรับรู้กันเป็นอย่างดี

แถมวงในยังมีข่าวแกนนำพปชร.มอบหมายให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ รองหัวหน้าพปชร.  ลงไปดูแลและช่วยเหลือ “บิ๊กแป๊ะ” อย่างเต็มรูปแบบ ในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถ อดีตผบ.ตร. จะช่วยดึงคะแนนเสียง จนประสบความสำเร็จ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นศึกใหญ่ มีความหมายกับทุกพรรคการเมือง 

แต่ “พล.ต.อ.อัศวิน” ก็ยังมีความพยายามที่จะขอเป็นทางเลือก ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ในฐานะคนมีอำนาจดูแลเมืองหลวงประเทศไทย หวังให้พรรคแกนนำรัฐบาลให้การสนับสนุน ยิ่งในช่วงกทม.เผชิญปัญหาการระบาดจาก “โควิด-19” อันเนื่องมาจากมาจาก “คลัสเตอร์คลองเตย” แต่บางครั้งการเล่นเกินบท มุ่งหาเสียงโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ก็กลายเป็นเสียมากกว่าผลดี

โดยเฉพาะแนวคิด “บิ๊กวิน” ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ เตรียมจะให้ ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยโควิดรายใหม่ที่เข้ามาโรงพยาบาลสนาม คนละ 50 เม็ด รวมทั้งหมด 500,000 เม็ด เนื่องจากเห็นว่าควรให้รับประทานตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเพื่อรักษา และป้องกันการลุกลามของโรค ซึ่งเดิมปกติทางการแพทย์จะเริ่มให้ผู้ป่วยเริ่มกิน เมื่อการติดเชื้อ แสดงอาการ

แต่แนวคิดดังกล่าวก็ถูกคัดค้านจากบุคลากรทางการแพทย์ อย่างเช่น “รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล” หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ยาฟาวิพิราเวียร์ได้รับการจดทะเบียนยาและอนุมัติให้ใช้ในผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีพิเศษสำหรับศึกระลอกแรก เนื่องจากมียาจำกัด จึงให้ใช้เฉพาะ ในรายปอดอักเสบรุนแรง”

อีกทั้งยังระบุอีกว่า การกวาดให้ยาแบบไม่แยกแยะ มีข้อเสียคือ 1.ยาอาจขาดมือจากที่สำรองไว้ ทำให้ผู้ป่วยรายที่จำเป็นอาจไม่ได้ยาชั่วคราวหรือได้ไม่เต็มจำนวน 2.การใช้ยาตั้งแต่แรกอาจทำให้แพทย์นิ่งนอนใจในประสิทธิภาพของยา จนอาจทำให้ละเลยการเฝ้าระวังการเกิดปอดอักเสบ ยานี้ยังไม่มีหลักฐานว่าป้องกันการเกิดปอดอักเสบหรือทำให้ปอดอักเสบเล็กน้อยไม่ลุกลาม 3.การใช้ยาฆ่าเชื้อที่ไม่สมเหตุสมผล (non-rational drug use) จะนำมาซึ่งการเกิดเชื้อดื้อยาภายหลัง

ในที่สุดแนวความคิดดังกล่าว ก็ต้องถูกเก็บพับไปในที่สุด ซึ่งหลายคนเชื่อว่า “บิ๊กวิน” หวังใช้การรับมือกับไวรัสร้าย มาช่วยสร้างผลงาน ใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง และได้รับการยอมรับจาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อช่วยสนับสนุน ส่งสัญญาณให้ พปชร. ช่วยเทคะแนนเสียงให้

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะผิดคิวเรื่องแก้ไวรัสร้าย ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นติดลำดับต้นๆ ของประเทศ ยังพบว่า ชุมชนหลายแห่ง ในพื้นที่เมืองหลวง ยังกลายเป็นคลัสเตอร์ ซึ่งเป็นจุดระบาดใหญ่จนเพิ่มจำนวนคนติดเชื้อไวรัสร้ายเป็นจำนวนมาก จนเกิดคำถามว่า ก่อนหน้านั้น ทำไม “ผู้ว่าฯกทม.” ถึงไม่ทำงานในเชิงรุก ปล่อยให้ปัญหาหมักหมมไว้ จนมาเกิดฝีแตกและสร้างปัญหากับรัฐบาล แต่กลับเพิ่งมาเร่งสร้างผลงาน ในช่วงใกล้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

อีกทั้งมาเจอโพสต์ประโยคสั้นๆ “เป็นผม…ผมไม่ทำ” จากน้องที่เคยรักอย่าง “บิ๊กแป๊ะ” ก็ทำให้พี่ชายที่เคยนับถือ สมัยรับราชการเป็นนายตำรวจด้วยกัน สะเทือนไปเลยทีเดียว ซึ่งเป็นภาพแอคชั่น “บิ๊กวิน” กับภาพผลงาน กทม.ที่ผ่านมา ซึ่งใครก็มองออกว่า เป็นรูปแบบการหาเสียง โดยใช้ทรัพยากรรัฐมาเป็นเครื่องมือสนับสนุน  

ก่อนหน้านั้น “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ซึ่งประกาศตัวลงชิงชัยเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. เป็นคนแรก ได้แชร์ป้ายข้อความและภาพ “สถานที่ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด19 ตามมาตรการแก้ไขการระบาดเชื้อไวรัสโควิด ชุมชนคลองเตยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สุชัย พงษ์เพียรชอบ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร”

พร้อมกับมีข้อความว่า ให้ความเห็นว่า “โดยใช้เงินภาษีของท่านทุกคน” ซึ่งเท่ากับเป็การตีแสกหน้า “บิ๊กวิน” ตรงๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงรับสมัครเลือกตั้งในอนาคต เพราะจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เท่ากับว่า “ผู้ว่าฯกทม.” กำลังตก เป็นเป้าโจมตี จากหลายฝ่าย และอาจถึงขั้นบอบช้ำ ส่งผลกระทบต่อความนิยม  ยิ่งคนเมืองหลวงใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร ไม่ชอบวิธีการ เอารัดเอาเปรียบ เวลามีการแข่งขันทางการเมือง 

อีกทั้งเคยมีข่าว “บิ๊กแป๊ะ”พยายายามต่อสาย เพื่อสอบถาม “พล.ต.อ.อัศวิน” จะตัดสินใจลงสมัคร เพื่อหวังชิงเก้าอี้ผู้บริหารท้องถิ่นดูแลกทม.หรือไม่ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน เหมือนกับการเล่นบทแทงกั๊ก แม้อดีตผบ.ตร. จะยื่นข้อเสนอ พร้อมสนับสนุน “ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง” รองโฆษก กทม. บุตรชายพล.ต.อ.อัศวิน มาร่วมเป็นทีมงานลงสมัครชิงชัยตำแหน่งสำคัญ และมอบตำแหน่ง “รองผู้ว่าฯกทม.” ให้แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

จากนี้ไปต้องดูว่า บทสรุปความสัมพันธ์ของ “อดีตบิ๊กสีกากี” จะจบลงอย่างไร แม้ดูเหมือนวันนี้ “บิ๊กวิน” จะเป็นต่อ เนื่องจากยังมีบทบาทในฐานะ “ผู้ว่าฯกทม.” แต่เมื่อถึงเวลาต้องลงชิงชัย เข้าสู่สนามเลือกตั้ง อาจจะถูกโดดเดี่ยว ไร้ฐานเสียง จากพรรคการเมืองไหนหนุน ตกอยู่ในสภาพ หัวเดียวกระเทียมลีบ เพราะดันเล่นบทเหยียบเรือหลายแคม ไม่มีความจริงใจกับใคร แม้จะเคยร่วมงาน เคยนับถือกันในฐานะพี่น้องก็ตาม

……………………………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย “แมวสีขาว”