วันพุธ, เมษายน 24, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSถึงเวลา “3 ป.”สั่งสอน“คนเหิมเกริม”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ถึงเวลา “3 ป.”สั่งสอน“คนเหิมเกริม”

ไม่รู้จะเข้าข่ายพูดผิดชีวิตเปลี่ยนหรือเปล่า แต่สัญญาณที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้บทเรียนสั่งสอน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็กลายเป็นประเด็นร้อน ที่หลายคนจับตามองแบบไม่กระพริบ   

เริ่มตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการตำรวจ ระดับผู้บังคับการ (ผบก.)-รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) วาระประจำปี 2564 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ซึ่งถ้าเป็นคนไวกับกระแส รับรู้กับความรู้สึกผู้อำนาจ ก็น่าจะทำให้ “แม่บ้านพรรคแกนนำรัฐบาล” สมควรต้องทบทวนตัวเอง

ก่อนหน้านั้น มีข่าว นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 41 ซึ่งผ่านการเรียนจาก นักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 25 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ “ผู้กองธรรมนัส” จะสยายปีกคุมตำแหน่งสำคัญในระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) แต่ทำไปทำมาก็พลาดเป้าหลายตำแหน่ง

โดยเฉพาะ “พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเสรณี” รอง ผบช.ภ.5 อดีตนายตำรวจติดตาม “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายคนสำคัญของรัฐบาล ต้องหลุดโผไม่แบบไม่น่าเชื่อ ปล่อยให้ “พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” รอง ผบช.น. ซึ่งรับหน้าที่กระบอกเสียงสีกานครบาล ในห้วงเผชิญม็อบสามนิ้ว ปาดหน้าเค้กรับตำแหน่งใหญ่ไปเฉย

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ

แม้กระทั่ง “บิ๊กหลวง-พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ” ผบช.ภ.3 ซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทกับเลขาธิการพปชร. เดิมถูกวางตัวให้รับตำแหน่ง “ผช.ผบ.ตร.” เพื่อก้าวไปเป็นตัวแทนนรต.รุ่น 41 ชิงเก้าอี้ “แม่ทัพสีกากี” ในอนาคต ยังได้เป็นแค่ “รองจเรตำรวจแห่งชาติ” (รองจตช.) แม้จะเทียบ “ผช.ผบ.ตร.” แต่ก็ไม่ใช้ตำแหน่งหลัก รวมทั้งเพื่อนนรต.ร่วมรุ่น ก็ไม่ได้รัการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ส่วนบางคนที่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิม ก็เกิดจากมี สายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ผบ.ตร.”

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งนายตำรวจระดับนำองค์กรสีกากี ทำให้ “นายตำรวจระดับสูง” ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถึงกับสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนว่า “ร.อ.ธรรมนัส…มีปัญหาอะไรกับนายกฯหรือเปล่า???”

หรือนี้เป็นแค่บทเรียนแรกสั่งสอน “ผู้กองคนดัง” ของผู้มีอำนาจในรัฐบาล คำถามคือ…อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ นายกฯลุงตู่ เปลี่ยนท่าที่มีเคยมีต่อ ร.อ.ธรรมนัส ทั้งๆ ที่เคยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ยกให้เป็นเป็นมือทำงานคนสำคัญในรัฐบาล และในพปชร. อีกทั้งยังประกาศนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง พาพรรคแกนนำกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาล 

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

แหล่งข่าวในพรรคแกนนำรัฐบาล ออกมาบอกเล่าถึงความไม่พอใจของหัวหน้ารัฐบาล ที่มีต่อรมช.เกษตรฯ อาจเกิดจาก “คำพูดเลขาธิการพปชร.” ซึ่งไปแสดงความเห็นกับสมาชิกพรรค กรณีบทบาทและการทำงานของ “นายกฯลุงตู่” โดยเฉพาะไม่ให้ความสำคัญของส.ส.ในพรรค การแก้ไขปัญหาโควิด การยึดโควตารัฐมนตรีหลายตำแหน่งมาอยู่ในความดูแลของตัวเอง จนสมาชิกพรรคพปชร.ต้องรับบทกลืนเลือด อีกทั้งบรรดารัฐมนตรีที่ “นายกฯลุงตู่” เลือกมา ไม่สนใจดูแลทุกข์สุกของสมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาล

และอาจมีบางซีน “ร.อ.ธรรมนัส” เผลอตัว ผสมโรงวิจารณ์ “หัวหน้ารัฐบาล” กับ “ส.ส.พรรคพปชร.” ซึ่งไม่พอใจบทบาทหัวหน้ารัฐบาล พูดจาเลยเถิดไปถึงขั้น ต้องการเปลี่ยนบุคคล ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ สื่อบางสำนักนำไปขยายผล เปิดแผนเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่  “พปชร.” จับมือ “เพื่อไทย (พท.)” ชู “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพปชร. ให้เข้ารับตำแหน่งนายกฯ และในที่สุดเรื่องดังกล่าว ก็ลอยไปเข้าหู “หัวหน้ารัฐบาล”

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หลังประชุมส.ส.พรรคพปชร. เสร็จสิ้นในช่วงเวลา 15.20 น.เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา แกนนำพรรค รัฐมนตรี ส.ส.และ สมาชิกพรรคบางส่วน รวมประมาณ 30-40 คน จะเดินทางออกจากที่ทำการพรรค ถ.รัชดาภิเษก เพื่อเข้าพบพล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ทันที

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อแกนนำและส.ส.ไปถึง พบว่า ร.อ.ธรรมนัส-นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน-น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ-นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เดินทางไปรออยู่ก่อนแล้ว โดยพล.อ.ประวิตรได้เรียกรัฐมนตรีของพรรคเข้าไปคุยประมาณ 20 นาที

ขณะที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ได้เปิดใจสะท้อนถึงปัญหาภายในพรรค รวมถึงกระแสข่าวต่างๆ ที่ออกมา ซึ่งพุ่งเป้ามาที่ตัวเองว่า อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว โดยร.อ.ธรรมนัสปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องตามที่เป็นข่าว แต่ทั้งนี้ได้รับความคิดเห็นจากส.ส.หลายคน ที่ไม่พอใจถึงการทำงานของรัฐมนตรี

โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ลอยตัวไม่เห็นส.ส.ในสายตา จึงเห็นว่าควรปรับเปลี่ยนโดยดึงโควต้ากระทรวงมหาดไทย ให้กลับมาเป็นของพรรค เพราะไม่ตอบสนองต่อสังคม และไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ส่วนโควต้ากลางเช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน ถ้ารัฐมนตรีคนใดยังทำงานได้และตอบสนองต่อประชาชน เราจะไม่เข้าไปยุ่ง

จากนั้นได้ออกมาประชุมกับส.ส.ต่อ โดยก่อนประชุมได้เรียกเก็บโทรศัพท์ของทุกคน ไม่ให้นำติดตัวเข้าห้องประชุม ระหว่างพูดคุย ส.ส.หลายคนระบายความรู้สึกให้พล.อ.ประวิตร ฟังว่า “น้อยใจพล.อ.ประยุทธ์” ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับส.ส. ทำให้พล.อ.ประวิตร พยายามอธิบายว่า นายกฯเหนื่อยมาก ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม ที่ไม่มีเวลามาดูแลส.ส.ก็อย่าน้อยใจ ว่านายกฯไม่ดูแล เพราะท่านทำงานเหนื่อย แต่รับฟังตลอด ก็ขอให้สนับสนุนนายกฯ และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนที่ตั้งใจทำงาน ขอให้โหวตไปในทิศทางเดียวกัน เท่ากันทุกพรรค

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

พร้อมกันนี้ “พล.อ.ประวิตร” ยังถามกลางที่ประชุมถึงกระแสข่าวกดดันนายกฯ เพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมืองว่า อยากรู้ว่าเขาเอาข่าวมาจากไหน ใครไปให้ข่าว เพราะทางนี้ก็ปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งบอกว่านายกฯ รู้เรื่องที่มีข่าวว่าพวกเราจะไม่เอานายกฯด้วย เพราะนายกฯไลน์มาหาด้วยตัวเอง

พอ “บิ๊กป้อม” พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้แกนนำที่ตกเป็นข่าว พยายามเคลื่อนไหวกดดันนายกฯ ทั้ง “ร.อ.ธรรมนัส” และ “นายวิรัช รัตนเศรษฐ” รองหัวหน้าพรรคพปชร. ในฐานะประธานคณะกรรมการสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ต่างประสานเสียงชี้แจงในทางเดียวกันว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีการเปลี่ยนขั้วใดๆ ทั้งสิ้น” พร้อมทั้งยังสนับสนุนการทำงาน

ในที่ประชุม “พล.อ.ประวิตร” ยังกำชับรัฐมนตรีห้ามไป “แจกกล้วยให้พรรคเล็ก” เพื่อโหวตคว่ำนายกฯ หรือ 2 รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แต่ให้ โหวตในทิศทางเดียวกันทั้งหมด

ขณะที่ก่อนหน้านั้นก็มีกระแสข่าว มีความพยายามกดดัน “พล.อ.ประยุทธ์” เพื่อให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยพุ่งเป้าที่รัฐมนตรีของพรรค 3 คน ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งยังไม่ถึงครึ่งปี คือ นายชัยวุฒิ และ น.ส.ตรีนุช รวมถึง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน โดยการกดดันให้ปรับครม.ครั้งนี้ นำโดย ร.อ.ธรรมนัสและนายวิรัช

เนื่องจากมองว่า ที่ผ่านมารัฐมนตรีใหม่ของพรรคทั้งสองคน เมื่อได้ตำแหน่งไปแล้ว กลับห่างเหิน ไม่สนองนโยบายพรรค และไม่ได้ดูแลส.ส.เท่าที่ควร นอกจากนี้ยังเห็นว่า รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาล ไม่ตอบสนองเสียงสะท้อนปัญหาของส.ส.ในพื้นที่ โดยเฉพาะภารกิจที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน

โดยการกดดันครั้งนี้ คาดว่าจะใช้วิธีทำให้รัฐมนตรีที่อยู่ในข่าย ได้รับคะแนนโหวตน้อยที่สุด ใช้เป็นข้ออ้างเรียกร้องให้มีการปรับครม. โดยมีตัวแปรคือบรรดาพรรคเล็ก หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำได้สำเร็จ และนำไปสู่การปรับ ครม.ได้ จะทำให้มี เก้าอี้ว่าง 3 ตำแหน่ง คือ “รมว.แรงงาน-รมว.ศึกษาธิการ-รมว.ดีอีเอส” และจะทำให้รัฐมนตรีใน “กลุ่ม 4 ช.” มีโอกาสที่จะขยับตำแหน่งที่สูงขึ้น

ซึ่งในการปรับครม.ครั้งที่แล้ว เคยมีความพยายามผลักดันให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ไปเป็น “รมว.แรงงาน” นางนฤมล รมช.แรงงาน ไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ไปเป็น รมว.ดีอีเอส แต่ไม่สำเร็จ และในครั้งนี้ยังมีความพยายามจะใช้สูตรดังกล่าวอีกครั้ง โดยเฉพาะ ร.อ.ธรรมนัส ที่ปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค พปชร. จึงต้องการขยับขึ้นไปเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการ” ในกระทรวงที่ใช้เป็นกลไกในการสร้างฐานเสียงได้

จะเห็นว่า ถ้าไล่ตามกระแสข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า “ผู้กองธรรมนัส” พยายามเข้าไปมีบทบาทใน “พปชร.” ตลอดเวลา ซึ่งเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะ ได้รับความไว้วางใจจาก “บิ๊กป้อม” แต่อย่าลืมว่า ระดับในการเข้าไปแทรกแซงต้องมีขอบเขต โดยเฉพาะ “ความสัมพันธ์ของ 3 ป.” ที่ประกอบด้วย “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก-บิ๊กตู่” ไม่มีทางขัดแย้งถึงขั้นแตกแยก แม้จะมีความเห็นต่าง เพราะความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสามลึกซึ้ง จนยากที่จะมีใครทำให้สั่นคลอนได้

หรือบางที “ผู้กองธรรมนัส” อาจต้องการวัดบารมี ทั้ง “น้องเล็ก” และ “พี่รอง” โดยเชื่อในศักยภาพ และพลังอำนาจตัวเอง ส่วนจุดจบจะเป็นอย่างไร เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….. “แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img