รัฐบาล”เป็ดง่อย”… เศรษฐกิจขากะเผลก

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เจ้าเก่าที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นโพลที่เชียร์รัฐบาล “ลุงตู่” ล่าสุดไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ตีแผ่ผลสำรวจจากประชาชนเรื่อง “โควิดรอบใหม่ กับ การปฏิรูป”

กลายเป็นว่า ตีแสกหน้ารัฐบาลลุงตู่อย่างจัง เพราะพบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐคือ ต้นตอ และอุปสรรค แก้วิกฤตชาติและโควิดรอบใหม่ ทั้งทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลย และเจ้าหน้าที่มีส่วนทําเอง

รวมทั้งยังเห็นว่า นายกรัฐมนตรี ควรไล่บี้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง จัดการหัวหน้าส่วนราชการต้นเหตุโควิดรอบใหม่และ ร้อยละ 96.5 ระบุ ถ้าจัดการ ผู้บัญชาการตํารวจแต่ละระดับ ก็ต้องจัดการหัวหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย เพราะอยู่ในพื้นที่เกี่ยวข้องทั้งแรงงานต่างด้าว และบ่อนพนัน

แต่น่าสนใจตรงที่ ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการเห็นการปฏิรูปการทำงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีแรงงาน มหาดไทยและตำรวจ ต้องถอนรากถอนโคนขบวนการต้นตอแพร่เชื้อโควิด

ซูเปอร์โพลชี้ให้เห็นว่า ประชาชนพากันผิดหวัง “ลุงตู่” ที่เปลี่ยนไป ไม่เด็ดขาดรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต อันเป็นอุปสรรคในการแก้วิกฤตชาติและโควิด-19 รวมถึงปราบปราม บ่อนการพนันและยังสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจรัฐอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องที่เกี้ยเซี้ยลงตัวจนเรื่องเงียบ

เหนือสิ่งใดยังสะท้อนถึง “ความล้มเหว” ในด้านบริหารจัดการของรัฐบาลตั้งแต่เรื่อง “วิสัยทัศน์” ต้องบอกว่าล้มเหลว เพราะเรื่องแรงงานต่างชาติที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นั้น สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะตั้งรับอย่างไร

ก่อนหน้านี้ก็มีคนออกมาเตือนตลอดว่า คราวที่รัฐบาลประกาศ “ล็อกดาวน์” เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว มีแรงงานต่างชาติส่วนหนึ่งต้องกลับบ้านเพราะถูกเลิกจ้างและเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น จะต้องกลับมาใหม่ แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตรการป้องกันด้วยการจับตรวจหาโควิด-19 มิหนำซ้ำยังปล่อยให้หลุดเข้ามาได้

แม้กระทั่งแรงงานพม่าที่อยู่ทำงานในพื้นที่สมุทรสาคร ก็ไม่มีการ “สุ่มตรวจ” ปล่อยให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแพร่ระบาด โดยไม่เฉลียวใจกับแรงงานต่างชาติราว 4 แสนคน ที่ไม่มีการตรวจ กลับปล่อยให้เป็นขยะซุกใต้พรม จนในที่สุดขยะที่ซุกใต้พรม ได้กลายเป็นระเบิดเวลาและระเบิดออกมาจริงๆ

นอกจากนี้รัฐบาลยัง “ล้มเหลวในการบังคับใช้กฏหมาย” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนและเรื่องแรงงานข้ามชาติลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฏหมายโดยผู้มีอิทธิพลและคนของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินจับกุม “นายหน้า” และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องและยังไม่สามารถจับเจ้าของบ่อนมาลงโทษ ทั้งที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของบ่อนนั้น

ที่สำคัญรัฐบาลล้มเหลวใน “การบริหารจัดการ” อย่างสิ้นเชิง จะเห็นว่าการจัดการครั้งนี้รัฐบาลให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด มีส่วนในการตัดสินใจซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่การให้อำนาจไม่ชัดเจนว่า “กรอบปฏิบัติ” อยู่ตรงไหน ทำให้มาตรการแต่ละจังหวัดในช่วงปีใหม่ต่างกันแบบสุดโต่ง บางจังหวัดให้ “ล็อคดาวน์” แต่บางจังหวัดให้ “เคาท์ดาวน์” เกิดความอิหลักอิเหลื่อ

หรือกรณี “หักกัน” ระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร เมื่อกรุงเทพมหานครออกประกาศในวันที่ 4 มกราคม “ห้ามนั่ง” ในร้านอาหาร ตั้งแต่ 1 ทุ่มเป็นต้นไป ต่อมาเย็นวันเดียวกัน รัฐบาลก็ประกาศว่านั่งทานในร้านได้ถึง 3 ทุ่ม การที่รัฐบาลมีคำสั่งออกมาแก้ประกาศเดิมอย่างนี้ ย่อมทำให้ผู้ปฎิบัติงานเกิดความสับสน ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการที่ไม่มีความชัดเจน

นอกจากนี้ให้จับตาดู แผนการใช้งบประมาณฉุกเฉิน-แก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ที่นายกฯและกระทรวงการคลังยืนยันว่า ยังมีเงิน 3 กระเป๋าที่เพียงพอเยียวยาประชาชน 40 ล้านคน วงเงิน 6.9 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กระเป๋าแรก 1.งบประมารณรายจ่ายประจำปี 2564 ในส่วนของงบฯกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 1.39 แสนล้านบาท

ส่วน กระเป๋าที่ 2.เป็นงบฯจากพระราชกำหนด ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ที่ยังเหลืออยู่ จำนวน 4.7 แสนล้านบาท และ กระเป๋าที่ 3.งบฯลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจปี’64 จำนวน 2.9 แสนล้านบาทนั้น มีพรายกระซิบมาว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่จองกฐินแย่งงบประมาณก้อนนี้ไปช่วยชาวเกษตร ที่พรรคดูแลอยู่

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความอ่อนแอและความล้มเหลวในด้านการจัดการของรัฐบาลได้สร้างความเสียหายเศรษฐกิจแบบซ้ำซาก ทำให้เดิมคาดว่าปี’64 เศรษฐกิจจะโตราว 4% ก็น่าจะไปไม่ถึงอย่างดีคงอยู่ราวๆ 2% กว่าๆ และคาดกันว่าราวปลายปี’65 เศรษฐกิจไทยถึงจะกลับมาโตเหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด

ถามว่ากว่าจะถึงวันนั้น คนไทยจะกลั้นหายใจอดทนรอไหวหรือไม่
…………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”