กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานที่ประชุม ได้อนุมัติในหลักการร่างกฎหมายให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยขั้นต่ำ 40 ล้านบาท มีสิทธิ์ซื้อที่ดินได้ 1 ไร่
อันที่จริงเรื่องนี้เคย มีมานานแล้ว เมื่อปี 2497 ก็มีกฎหมายนี้ กระทั่งในปี 2542 ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก วิกฤติต้มยำกุ้ง สภาฯก็ได้อนุมัติกฎหมายให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ตามมาตรการของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF
ครั้นมาในปี 2545 รัฐบาลสมัยนั้นก็ออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดรายละเอียดของต่างชาติที่สามารถมีกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ เพียงแต่ร่างกฎหมายของรัฐบาลนี้ได้นำกฎกระทรวงปี 2545 มาปัดฝุ่นใหม่ โดยปรับแก้ระยะเวลาจากเดิมไม่น้อยกว่า 5 ปี เหลือ 3 ปี และจากเปิดไว้อย่างกว้างๆ เป็นการคัดกรองเฉพาะกลุ่มที่ต้องการดึงเข้ามา
สำหรับชาวต่างชาติที่มีสิทธิ์ซื้อที่ดินในเมืองไทยได้ มี 4 ประเภท คือ กลุ่มประชากรที่มีความมั่งคั่งสูง-กลุ่มเกษียณอายุจากต่างประเทศ-กลุ่มที่ต้องการทำงานในประเทศไทย-กลุ่มที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ โดยทั้งหมดต้องได้รับวีซ่าระยะยาว และต้องเป็นที่ดินในกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยผังเมือง ตั้งเป้าเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทร่างกฎกระทรวงฉบับนี้จะมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เหตุผลที่รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายนี้ เนื่องจากต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เพราะมีกำลังซื้อสูง และการดึงคนเก่งคนที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ก็จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง เหมือนอย่างหลายๆประเทศทำมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีจุดอ่อนมากมาย ตั้งแต่วงเงินลงทุน 40 ล้านบาทหรือ แค่ 1 ล้านกว่าเหรียญดอลลาร์สหรัฐนั้น ถือว่าน้อยมากๆ สำหรับการลงทุนในยุคนี้ วงเงินนี้เท่ากับเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีการเพิ่มให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แถมลดระยะเวลาจากเดิม 5 ปีเหลือแค่ 3 ปีเท่านั้น
เหนือสิ่งใดเงื่อนไขที่ให้ต่างชาติลงทุน “ซื้อพันธบัตร” ได้ เท่ากับเอาเงินมาลงทุนในพันธบัตร 3 ปีได้คืนพร้อมดอกเบี้ยแล้วยิ่งกว่านั้น “การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย” สามารถได้ดอกเบี้ยสูงถึง 3-3.5% โดยไม่ต้องลงทุนทำอะไร เรียกว่า เอาเงินมาแช่ทิ้งไว้ฟันกำไรเหนาะๆ แถมยังได้สิทธิ์ซื้อที่ดินอีกต่างหาก ที่ดินที่ซื้อทิ้งไว้ 3 ปีราคาย่อมสูงขึ้นตามไปด้วยแน่นอน
ที่สำคัญ ต้องรู้พฤติกรรมนักลงทุนไม่ว่านักลงทุนชาติไหน ที่ไหนมี “กำไร” ก็ไปที่นั่น ไม่ได้ยึดติด จึงไม่ต้องห่วงว่า ต่างชาติยึดประเทศ แต่ถามว่า แล้วไทยจะได้อะไรที่ผ่านมา ไม่ว่าจะลงทุนในตลาดหุ้น หรือลงทุนในภาคการผลิตจริง เมื่อเห็นว่าไปไม่รอด ก็ชิงขายเอากำไรขนเงินกลับบ้านดีกว่า
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเอาที่ดินขายให้กับต่างชาติ แทบไม่มีประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และคนระดับล่างสุดจะได้รับประโยชน์น้อยที่สุด กลุ่มที่ได้จริงๆ คือ กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะรายใหญ่ๆ เท่านั้น และคนพวกนี้เสียงมักจะดัง
นโยบายขายที่ดินให้ต่างชาติจึงได้ไม่คุ้มเสีย เพราะในทางจิตวิทยา อาจจะทำให้ราคาที่ดินแพงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล จะทำให้โอกาสคนชั้นกลาง คนระดับล่างที่จะมีที่อยู่อาศัยของตัวเองก็จะยากยิ่งขึ้น ในขณะที่ที่ดินของประเทศไปกระจุกอยู่ในมือคนไม่กี่ตระกูล
งานวิจัยเรื่อง “รวยกระจุก จนกระจาย ความเหลื่อมล้ำกับการปฏิรูปภาษีที่ดิน” ของ อาจารย์ดวงมณี เลาวกุล ระบุว่ากลุ่มคน 1% ถือครองที่ดินมากเกือบ 23 ล้านไร่ รวมพื้นที่มากกว่า 7 จังหวัดภาคตะวันออก แต่คนอีก 20% ของกลุ่มถือครองที่ดินน้อยที่สุด ถือครองที่ดินแค่กว่า 2.32 แสนไร่ และคนถือครองที่ดินมากที่สุดมีที่ดิน 631,263 ไร่ ที่ดินแปลงใหญ่ราว จ.ภูเก็ต 2 จังหวัดรวมกัน
ฉะนั้น สิ่งทีรัฐบาลต้องทำโดยเร่งด่วน คือ ต้องทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ต้องยกระดับให้คนมีรายได้สูงขึ้น ไม่ใช่เกิดความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุกจนกระจายอย่างทุกวันนี้
อีกเรื่องที่น่าห่วงมากที่สุด หากเปิดทางให้ต่างชาติซื้อที่ดินได้ จะกลายเป็นการเปิดพวกมาเฟียต่างชาติทำธุรกิจสีเทา เอาเงินเข้ามาฟอก ซึ่งตอนนี้ ก็เข้ามากว้านซื้อพวกคอนโดมิเนียมโดยใช้คนไทยเป็น “หุ่นเชิด” เมื่อหักกลบกันแล้วงานนี้ฟันธงได้เลยว่าได้ไม่คุ้มเสีย…แน่นอน
………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving
