วันอังคาร, เมษายน 23, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSปอกเปลือก“ทุนจีน”..ภัยเศรษฐกิจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ปอกเปลือก“ทุนจีน”..ภัยเศรษฐกิจ

จากกระแสผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารคนไทยออกมาร้องว่า ปัจจุบันมี “คนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยว” เข้ามาทำธุรกิจแบบไม่ถูกกฎหมายจำนวนมาก โดยใช้ “นอมินีคนไทย” จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท แย่งอาชีพและพื้นที่ทำกินของคนไทยในทุกระดับชั้น โดยเฉพาะในย่านเยาวราชและห้วยขวาง จะพบร้านอาหารที่เป็นของคนจีน และพนักงานชาวจีนเกือบทั้งร้าน รวมถึงถนนเสือป่าที่ขายของเบ็ดเตล็ดแข่งกับคนไทย

อันที่จริงปัญหากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก มีมานานนับ 10 ปี แล้วเริ่มเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่ปี 50 คนจีนเข้ามาตั้งชุมชนขนาดใหญ่ย่านลาดกระบัง ศรีนครินทร์ สุขุมวิท แต่อาจจะเพลาๆ ไปบ้างหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ไปทั่วโลก รัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยต่างมีนโยบายปิดประเทศ

กระแสนี้กลับมาอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลจีนประกาศยกเลิกนโยบาย Zero Covid คนจีนเริ่มเดินทางออกนอกประเทศ จนกลายเป็นข่าวฮือฮา เมื่อเพจร้าน “อาม่งหม่าล่าหม้อไฟสาขาเยาวราช” โพสต์เล่าสถานการณ์ล่าสุด ที่เกิดขึ้นบนถนนเยาวราช ย่านสำเพ็ง มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า…

“ตอนนี้มีคนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยวมาเปิดร้านอาหาร ร้านนวด ร้านขายอุปกรณ์ เต็มไปหมด ย่านเยาวราช สำเพ็ง จากเดิมเคยเป็นร้านคนไทย (เชื้อสายจีน) ตอนนี้กลายเป็นร้านคนจีนแท้ๆ (ส่วนใหญ่วีซ่า L) ถึงจะวีซ่า L ก็เปิดบัญชีธนาคารได้ง่ายๆ ด้วย ธุรกิจร้านอาหารจีนไม่ต้องมีสูตรอะไรมาก มี suppliers ส่งให้เรียบร้อย มีเงินเฉยๆ ก็เปิดร้านได้ อุปกรณ์ตกแต่งจากจีนก็มีสำเร็จรูป ไม่ต้องการฝีมือช่างไทยทำ การมาลงทุนเปิดร้านต่างๆในไทยเลยง่ายมากๆ”

ขณะเดียวกันช่วงโควิด-19 ระบาด หลายกิจการย่านสำเพ็ง ต้องปิดไปทำให้มีตึกและห้องเช่าว่างจำนวนมาก การค้าซบเซา คนไทยขาดสภาพคล่อง คนจีนที่ทุนหนา ก็เข้ามาทุ่มเงินเช่าร้าน เซ้งตึกได้ง่ายๆ ใช้ลูกจ้างเป็นคนไทย เช่าหรือเซ้งตึกและรับหน้าที่ทำธุรกรรมต่างๆ แทน

พบว่ามีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของเบ็ดเตล็ดทั่วไป โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน บางร้านขายสินค้าราคาถูก ราคาแค่ 10 ถึง 30 บาท แต่กลับมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถจ่ายค่าเช่าตึกได้ในราคา 300,000 ถึง 500,000 บาท ต่อเดือนได้อย่างสบายๆ บางร้านเปิดขายของแค่ครึ่งวันหรือไม่กี่ชั่วโมงก็ปิดร้าน

ทุนจีนเข้าทำธุรกิจในไทย

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ คาดว่าอีกไม่นานแหล่งทำมาหากินในพื้นที่นี้ ก็จะถูกยึดไปหมด ไม่มีเหลือให้คนไทยแม้แต่น้อย เนื่องจากคนจีนเหล่านี้ได้เปรียบ เพราะรู้แหล่งผลิตสินค้าในประเทศจีน สามารถหาของราคาโรงงานได้ ภาษีก็ไม่ต้องเสีย

ตรงกันข้ามกับคนไทย จะได้ราคาสินค้าที่ผ่าน “คนกลาง” อีกที แถมยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหาซื้อที่จีน ทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากินค่าอยู่ ต้นทุนย่อมสูงกว่า อย่างนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊งลูกเดียว ในที่สุดก็จะ “ฮุบกิจการคนไทย” ไปหมด ซึ่งเงินที่คนจีนได้จากการทำธุรกิจ แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในประเทศไทย ปลายทางเงินที่ได้ส่วนใหญ่ จะไหลกลับไปประเทศจีน นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

แต่ความสนใจของสังคม กลับพุ่งเป้าไปที่ “กลุ่มจีนเทา” ที่ทำธุรกิจสีเทาและธุรกิจมืด สร้างความเสียทั้งทางเศรษฐกิจและมีปัญหาสังคมตามมา อย่าง กรณี “ตู้ห่าว” ธุรกิจจีนสีเทานั้น เกิดขึ้นมานานแล้ว แฝงมาในรูปกลุ่ม “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” กลุ่มนี้จะเริ่มจากธุรกิจทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีน ต่อมาเป็นเจ้าของโรงแรม สถานบันเทิง ผับ บาร์ บ่อนพนัน ลามไปสู่ ยาเสพติด และ ฟอกเงิน

นอกจากนี้กลุ่มจีนเทายังทำธุรกิจมืดอย่าง การพนันออนไลน์-การกู้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น-กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ แล้ว “ฟอกเงิน” ผ่านการซื้อ “อสังหาริมทรัพย์” ทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ บริษัททัวร์ มหาวิทยาลัย โรงแรม ไปจนถึงร้านอาหาร ทั้งในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมตั้งตัวเป็น “มาเฟีย” โดยมี เจ้าหน้าที่รัฐ และ นักการเมือง ให้การช่วยเหลือ

จากข้อมูลของตำรวจ เฉพาะปี 2564 เพียงปีเดียว มีผู้แฝงตัวเข้ามาในลักษณะนี้มากกว่า 3,000 คน ยังไม่นับกรณีที่มีการใช้นอมินีชาวไทยบังหน้าทำมาหากินกันอย่างเปิดเผย

มีนักวิชาการประเมินความสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจประเทศกว่า 300,000 ล้านบาท (เป็นความเสียหายทางอาชญากรรมเทคโนโลยีที่มีทั้งคนจีนและชาติอื่นๆ)

ข้อมูลของพรรคการเมืองฝ่ายค้านประเมินว่า เฉพาะคดีตู้ห่าวคดีเดียว สร้างความหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

เส้นทางที่กลุ่มทุนจีน ทั้ง “ทุนจีนขาว” และ “ทุนจีนเทา” ใช้ในการเดินทางเข้ามาทำมาหากิน เริ่มตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนหนึ่งมาจากการอำนวยความสะดวกให้เข้าประเทศ ขอสัญชาติไทยได้โดยง่าย อีกทั้งยังอนุมัติต่อวีซ่าให้กลุ่มคนจีนที่ใช้ใบรับรองของมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษาจำนวนมากปัญหา จะไม่ลุกลามมาถึงขั้นนี้ หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และคนไทยไม่ให้ความร่วมมือ โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม การรุกเข้ามาของทุนจีน ไม่ใช่แค่ทุนจีนสีเทา ที่อาละวาดสร้างอิทธิพลใต้ดินเหนือคนไทย แต่เป็นพ่อค้าแม่ค้าทุนจีนสีขาว ซึ่งเป็นภัยต่อเศรษฐกิจไทยไม่น้อย

……………………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img