วันศุกร์, พฤศจิกายน 8, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“ธุรกิจลวงโลก” เชื้อร้ายไม่เคยตาย!!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ธุรกิจลวงโลก” เชื้อร้ายไม่เคยตาย!!

“ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ที่กำลังกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์เวลานี้ จะเข้าข่ายเป็น “ธุรกิจขายตรง” แอบพ่วง “แชร์ลูกโซ่” ด้วยหรือไม่นั้น คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ต้องดูรายละเอียดในกระบวนการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่ต้นทาง จนถึงปลายทาง ว่าจะเข้าข่ายธุรกิจขายตรงที่แอบแฝงมากับแชร์ลูกโซ่หรือไม่

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง แบ่งการทำธุรกิจขายตรง ออกเป็น 3 ประเภท คือ “ธุรกิจขายตรงแบบสีขาว” เป็นการทำธุรกิจขายตรงแบบถูกกฎหมาย 100% “ธุรกิจขายตรงสีดำ” เป็นธุรกิจผิดกฎหมายทำขายตรงแบบแชร์ลูกโซ่ล้วนๆ ส่วน “ธุรกิจขายตรงสีเทา” เป็นบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนถูกต้อง ทำตามแผนการตลาดที่ได้รับอนุญาต แต่ภายหลังมากลายพันธุ์เปลี่ยนเป็นแผนการจ่ายผลตอบแทนแบบแชร์ลูกโซ่ รูปแบบนี้เรียกว่า เป็นธุรกิจขายตรงมีการแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่

สำหรับ “ดิ ไอคอน” เริ่มจากการที่คนหนึ่งชักชวนคนอื่นๆ มาร่วมลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่า จะได้รับผลตอบแทนที่สูง ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อจูงใจให้นำเงินมาลงทุน โดยกลุ่มคนแรกๆ จะได้รับผลตอบแทนสูง ก่อนจะได้ลดหลั่นกันไปตามแต่ละเครือข่าย จนสุดท้ายเมื่อหาใครไม่ได้แล้ว ไม่มีเงินหมุนเวียน บรรดาลูกข่ายระดับล่างๆ ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทน และเรื่องแดงในที่สุด

ส่วนจะมีการฉ้อโกงหรือไม่ สามารถดูจากรายได้ของบริษัท หากบริษัทฯมีรายได้จากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ และไม่ได้เกิดจากการขายของให้คนทั่วไป แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกงได้

น่าสนใจตรงที่ “ธุรกิจลวงโลก” แบบนี้ในบ้านเรามีมานาน กลายเป็น “อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ” ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก แต่ละคดีมีผู้เสียหายพันคน มูลค่าความเสียหายนับพันๆ ล้านบาท แต่ปราบไม่เคยหมด

หากย้อนอดีตธุรกิจลวงโลก “แชร์ลูกโซ่” ระดับตำนานที่สร้างความเสียหายให้กับเหยื่อจำนวนมหาศาล เมื่อ 40 ปีที่แล้วใครๆ ต้องรู้จัก “แชร์แม่ชม้อย” หรือ “แชร์น้ำมัน” โดยอ้างว่า นำเงินไปลงทุนในองค์การน้ำมันเชื้อเพลิง รับปากจะให้ผลตอบแทนสูงเป็นรายเดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 4.5 พันล้านบาท เป็นยอดเงินที่สูงมากในยุคสมัยนั้น

ในห้วงเวลาเดียวกันก็ยังมี “แชร์แม่นกแก้ว” ความเสียหาย 1,977 ล้านบาท แต่ที่ดังมากๆ คือ “แชร์ชาร์เตอร์” ใช้วิธีชวนเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ และเงินตราต่างประเทศ อ้างได้รับผลตอบแทน 9% ต่อเดือน หรือ 10% ต่อปี สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท

“แชร์เสมาฟ้าคราม” เป็น โครงการบ้านจัดสรรราคาถูก ใช้วิธีระดมเงินทุนนอกระบบ ผู้ที่เข้าร่วมแชร์จะได้รับผลตอบแทนสูงถึงเดือนละ 12.5% หรือ 150% ต่อปี แต่สุดท้ายโดนหลอกลงทุน

กรณีของ “แชร์บลิชเชอร์” ได้พัฒนามาเป็นการขายสมาชิก เรียกการขยายตรงแบบนี้ว่า “ขายตรงหลายชั้น” ประชาชนที่มาสมัครต้องจ่ายเงินหลายหมื่นบาท เพื่อเป็นสมาชิกเที่ยวทั่วประเทศ โดยคนที่ชักชวนมาสมัครจะได้ค่านายหน้า 20-45% สุดท้ายก็ไปไม่รอด

เมื่อ 5 ปีที่แล้วก็มี “แชร์แม่มณี” เป็นโปรเจ็กต์ออมเงินชื่อว่า “ฝากเงิน ออมเงิน by บัญชีแม่มณี” แล้วชักชวนคนอื่นๆ มาร่วมฝากเงินเป็นการลงทุน วงละ 1,000 บาทจะได้รับผลกำไรกลับคืนเป็นเงิน 930 บาท หรือคิดเป็นดอกเบี้ย 93% ในเดือนต่อมา ช่วงแรกได้เงินต้นและดอกเบี้ยคืนจริง แต่เมื่อทุ่มเงินลงทุนมากขึ้น กลับไม่ได้รับเงินคืน วงเงินความเสียหายสูงกว่า 1,300 ล้านบาท

สำหรับแชร์ลูกโซ่ยุคใหม่ เช่น “แชร์ยูฟัน” ที่หลอกลงทุนเงินดิจิทัลที่ไม่มีกฏหมายรองรับ เรียกว่า “ยูโทเคน” หรือ แชร์ “Forex 3D” กรณีนี้ใช้โมเดล “เทรดเดอร์” ชวนประชาชนลงทุนใน Forex อ้างได้ผลตอบแทน 10-15% ต่อเดือน หากแนะนำคนมาลงทุนต่อได้ค่านายหน้า 5% ต่อคน ช่วงนี้เริ่มมีเหล่าดารา ศิลปิน บรรดาคนมีชื่อเสียงเข้ามาร่วมชักชวนคนลงทุน กรณี Forex 3 D มีวงเงินสูงถึง  40,000 ล้านบาท

cr : มูลนิธิยุวพัฒน์

นอกจากนี้ “แชร์ลูกโซ่” ได้มีพัฒนาการ ที่แฝงตัวในการทำ “ธุรกิจขายตรง” ที่มามาก่อน “ดิ ไอคอน” ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจขายสินค้าเสริมความงาม อาหารเสริม เช่นบริษัทหนึ่ง จัดนำเที่ยวต่างประเทศ โดยกลุ่มผู้เสียหายจะต้องจ่ายค่าซื้อสินค้าราว 10,000-15,000 บาทต่อคน ในที่สุดกลุ่มผู้เสียหายตกค้างอยู่ที่สนามบินนับพันคนเรื่องจึงแดงขึ้นมา

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ “แชร์ลูกโซ่” ที่เกิดขึ้นค้นในบ้านเรา ยังมีแชร์ลูกโซ่อีกนับสิบๆ ราย หลายสิบรูปแบบ ที่ถูกดำเนินคดี แม้เวลาผ่านไปแล้วหลายสิบปีธุรกิจลวงโลกยังได้ผล และมีการพัฒนารูปแบบที่มีความซับซ้อนและแนบเนียนจนแทบจะแยกไม่ออกว่า เป็นธุรกิจปกติทั่วไปหรือธุรกิจผิดกฏหมาย

กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว “แชร์ลูกโซ่” ยังอยู่ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย และในอนาคตจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะ “คนจ้องจะรวยด้วยการโกง” มีเยอะ ทีมหนึ่งถูกจับไป ทีมใหม่เข้ามาแทน ต้องบอกว่าคนกลุ่มนี้รู้ “จุดอ่อนคนไทย” รู้ว่าคนไทยหลอกง่าย โลภมาก อยากรวยเร็ว ลงทุนน้อยแต่ได้มากจึงล่อใจด้วยผลตอบแทนที่สูงเกินจริง

อีกทั้งนิสัยคนไทยมักเชื่อคนใกล้ชิด หรือคนดัง ผู้มีอำนาจ ดารามีชื่อเสียงที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม เมื่อมาชวนให้ไปลงทุนจึงหลงเชื่อ 

“ธุรกิจลวงโลก” ยังคงอยู่ ตราบใดที่หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล ไม่บังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง เพราะมีผลประโยชน์มีเกี่ยวข้อง อีกทั้ง “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” มักจะมี “ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ” และ “นักการเมืองบางคน” อยู่เบื้องหลัง ทำให้ “เชื้อร้าย” นี้เกิดง่ายตายยาก

………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย…..”ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img