วันศุกร์, มีนาคม 29, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSเศรษฐกิจไทย...ยังไม่มีข่าวดี
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เศรษฐกิจไทย…ยังไม่มีข่าวดี

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่ท้าทายที่สุด ในรอบ 80 ปี นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา มรสุมเศรษฐกิจ หลายๆ วิกฤติ กำลังก่อตัวขึ้นพร้อมๆ กัน จนกลายเป็น มหาวิกฤติ ที่เรียกว่า Perfect Storm

เริ่มจาก “วิกฤตการเผชิญหน้า” กันของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ระหว่าง “สหรัฐอเมริกากับจีน” ใน “สงครามการค้า” จนมาถึงการเผชิญหน้ากันของสองมหาอำนาจใน “สงครามรัสเซียกับยูเครน” ผลของความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ มีการแบ่งออกเป็นขั้วอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้โลกยังถูกซ้ำเติมด้วย “วิกฤตราคาพลังงาน” ส่อเค้ารุนแรงขึ้น เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเริ่มขึ้น ทำให้น้ำมันขาดแคลน ราคาน้ำมันโลกพุ่งกระฉูด ปัจจุบันอยู่ที่ 110-120 ดอลลาร์/บาเรล ราคาขายปลีกน้ำมันที่ 50 บาท/ลิตร แต่ที่หลายๆ ฝ่ายวิตกกังวลกันมาก คือ “วิกฤตอาหารโลก” กำลังทวีความรุนแรง มี 30 ประเทศประกาศงดส่งออกสินค้าอาหาร รัฐบาลประเทศเหล่านี้ มีนโยบายปกป้องอาหารไว้สำหรับเพียงพอบริโภคในประเทศและประชาชนไม่ต้องซื้ออาหารราคาแพง

พลังงาน /cr ; สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

นอกจากนี้ยังมี “วิกฤตจากความผันผวนในตลาดการเงินโลก” ซึ่งวิกฤติเหล่านี้ มีโอกาสจะเกิด “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศที่เศรษฐกิจอ่อนแอ เช่น ศรีลังกา และกำลังลุกลามกลายเป็น “โดมิโน” ไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป ซึ่งประเทศไทยก็ประมาทไม่ได้

อย่างไรก็ตาม มีบางประเทศกำลังใช้วิกฤตินี้ “แปรเป็นโอกาส” โดยได้เริ่มประกาศนโยบายมาตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิดใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศในยุโรป จีน แม้แต่ในอาเซียน อย่าง เวียดนามและสิงคโปร์ ก็ประกาศนโยบายยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด

ส่วนประเทศไทย อาจจะยังไม่เห็นสัญญาณจากรัฐบาลว่าจะ “แปรวิกฤติเป็นโอกาส” อย่างไร แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่กำลังวิกฤติที่รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ แปรเป็นโอกาส อย่างกรณี “วิกฤติพลังงาน” ที่คนไทยประสบปัญหาน้ำมันราคาแพง จาก “โครงสร้างราคาบิดเบี้ยว” มาช้านาน

คนไทยกำลังเดือดร้อนกันทั้งประเทศจากราคาพลังงานที่แพงขึ้นต่อเนื่อง ผลจากการบริหารกองทุนน้ำมันที่ผิดพลาดของรัฐบาล มีความเป็นไปได้ที่ “กองทุนน้ำมันจะถังแตก” ปัจจุบันกองทุนน้ำมันติดลบกว่า 81,000 ล้านบาท แต่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาสินค้าทยอยปรับขึ้นราคาไปเรียบร้อย ค่าขนส่งสินค้าก็ปรับขึ้นไปเป็น 15% แล้ว

มีข้อสังเกตที่น่าสนใจจาก “คุณญนน์ โภคทรัพย์” ประธานสมาคมค้าปลีกไทย บอกว่า เวลานี้ไทยกำลังเผชิญกับ “พายุเศรษฐกิจ 5 สูง” ประกอบด้วย เงินเฟ้อสูง-หนี้ครัวเรือนสูง-ราคาพลังงานสูง-ต้นทุนสินค้าสูง-ราคาสินค้าสูง

หากเราไม่เร่งเดินหน้าผลักดันให้เศรษฐกิจโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ Stagflation ได้ในที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบาง ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการส่งออกเป็นตัวนำ แต่ตอนนี้การส่งออกจะโตได้ไม่มาก ถูกจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามรัสเซีย–ยูเครน และราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น

ตอนนี้หลายคนตั้งความหวังว่า “ธุรกิจท่องเที่ยว” จะเป็นเครื่องยนต์เครื่องใหม่ที่จะมาชดเชยส่งออก เพราะเชื่อว่าหลังจากโควิด-19 ซาลง ภาคการท่องเที่ยวคงจะฟื้น ดูจากแหล่งท่องเที่ยวหลายๆ แห่งเริ่มกลับมา อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า ปีนี้ประเทศไทยจะเริ่มได้นักท่องเที่ยวกลับมา คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้อยู่ที่ 7-8 ล้านคน หากเทียบกับก่อนโควิด ตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้อยู่ที่เพียง 20% จากของเดิมเท่านั้น

คำถามคือ แล้วเราจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับไปสู่จุดเดิมก่อนเกิดโควิดหรือที่ราว 40 ล้านคนเมื่อไหร่ ที่ต้องถามอย่างนี้เพราะโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม ระบบสาธารณูปโภคที่สร้างไว้นั้น สำหรับรองรับนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน หากมาเพียงแค่ 20% เท่ากับยังมีส่วนเกินอีก 80% ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์

จากการประเมินโดย SCBS Investment Research คาดว่า ในปีหน้าหรือ 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 25 ล้านคน ปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 35 ล้านคน และจะเพิ่มกลับไปที่ 40 ล้านคนในปี 2568 นั่นแปลว่ากว่าไทยจะมีนักท่องเที่ยวกลับไปจำนวนเท่าเดิม ต้องรอปี 2568 หรืออีก 3 ปีทีเดียว

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยว นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด ที่อาจจะส่งผลให้แต่ละประเทศต้องจำกัดการเดินทางอีกครั้ง ก็เสี่ยงกระทบการท่องเที่ยวได้

ที่สำคัญต้องคอยดูว่า นโยบายของรัฐบาลจีน จะเริ่มผ่อนปรนเมื่อไหร่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด ก่อนโควิด นักท่องเที่ยวจีนราวๆ 10 ล้านคน หรือหนึ่งใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด แต่ขณะนี้รัฐบาลจีนยังคงเข้มงวดการเข้าออกระหว่างประเทศ ทำให้คนจีนยังไม่เดินทางท่องเที่ยว หากรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการเร็วขึ้น นักท่องเที่ยวจีนก็จะกลับมาไทยเร็วขึ้นเช่นกัน

ขณะที่นักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นลูกค้ารายใหญ่ ก็เผชิญกับภัยสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน คงต้องดูว่าสงครามจะยุติเมื่อไหร่ และนักท่องเที่ยวรัสเซียพร้อมเดินทางท่องเที่ยวเมื่อไหร่ หากนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียยังมาเที่ยวไม่ได้ จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปเกือบครึ่ง “ชะตากรรมท่องเที่ยวไทย” ผูกไว้กับนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเป็นสำคัญ

ดังนั้น กว่าการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด ต้องรออีก 3 ปี ยิ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ขยับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โอกาสที่ท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลฝันหวานคงเป็นไปได้ยาก

ฟันธงว่า ยังไงปีนี้สัญญาณเศรษฐกิจไทยยังไม่มีข่าวดีให้ชื่นใจ ก็แล้วกัน

………………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img