กระแสข่าวรวมพรรค “3 ส.” คือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” พรรคสร้างอนาคตไทย “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ไทยสร้างไทยและ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” จากพรรคเสรีรวมไทย พบว่าเกิดขึ้นมาได้ร่วม 2-3 สัปดาห์แล้ว
บนกระแสข่าวว่า มีการหารือกันของสามแกนนำพรรคดังกล่าวหลายรอบ ในลักษณะวงเล็กๆ เท่านั้น ที่เป็นระดับแกนนำจริงๆ แต่การพูดคุยในบางส่วน ไม่ค่อยคืบหน้าในช่วงที่ผ่านมา เพราะติดเงื่อนไขของแต่ละกลุ่ม ชนิดไม่มีใครยอมใคร เพราะแต่ละฝ่ายก็ต้องการว่า หากมารวมพรรคกัน ฝ่ายของตัวเองต้องมีบทบาทมากที่สุดในพรรคที่จะรวมตัว ทั้งตอนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง
โดยเฉพาะ 2 เงื่อนไขที่ทำให้การพูดคุยไม่คืบหน้า ก็คือ 1.ตำแหน่งในพรรค 2.การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตอนเลือกตั้ง
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ฝ่าย “สร้างอนาคตไทย” ที่เห็นว่า ฝ่ายของตัวเอง “ชื่อ-ชั้น” เหนือกว่า ไทยสร้างไทยและเสรีรวมไทยเยอะ พูดง่ายๆ เป็นพรรคใหญ่กว่า เครดิตสูงกว่า เพราะแกนนำพรรค ล้วนแต่ระดับอดีตรัฐมนตรี-ระดับบิ๊กเนม เช่น “ดร.สมคิด” ก็อดีตรองนายกฯ อดีตรมว.คลัง “อุตตม สาวนายน” ก็อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรมว.คลัง อดีตรมว.อุตสาหกรรม “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ก็อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ อดีตรมว.พลังงาน อดีตรมว.พาณิชย์ เป็นต้น ส่วนแถวสองในพรรคนี้ก็เช่นกัน ก็คงมองว่า ชื่อชั้นการเมืองก็เหนือกว่า เช่น “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตส.ส.พัทลุงแปดสมัย อดีตรมว.วัฒนธรรม “สุพล ฟองงาม” ก็อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อดีตรมช.มหาดไทย เป็นต้น
เลยทำให้บางส่วนของวงพูดคุยอย่าง “พรรคเสรีรวมไทย” เลยปิดดีล ไม่มาร่วมพูดคุย เพราะคุยกันไม่ลงตัว รับไม่ได้กับเงื่อนไขต่างๆ ก็เลยเหลือแค่ “ไทยสร้างไทย” กับ “สร้างอนาคตไทย” เท่านั้น
ซึ่งวงดังกล่าว การพูดคุยโดยพื้นฐานแล้ว ราบรื่นกว่าการคุยกับเสรีรวมไทยอยู่แล้ว เพราะทั้งดร.สมคิดและสุดารัตน์ ต่างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นสองอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ยุคตั้งพรรคกับทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่พอคุยกันรายละเอียดแบบเข้มข้นเรื่องรวมพรรค มันติดขัดหลายอย่าง ทำให้ไม่คืบหน้า
ข่าวว่า ข้อหารือเรื่องการรวมพรรคของ 2 ส. “สุดารัตน์” กับ “สมคิด” ที่คุยกันไม่ลงตัวก็คือ หากรวมกันแล้ว จะใช้ชื่อพรรคอะไร รวมถึงตำแหน่งในพรรค และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ
เบื้องต้น ฝ่ายดร.สมคิดบอกว่า หากมารวมกันจริง ในฐานะที่สร้างอนาคตไทยมีสเกลพรรคใหญ่กว่า ก็ควรที่ฝ่ายสร้างอนาคตไทย จะต้องมีบทบาทในการกำหนดทิศทางได้มากกว่า เช่น แคนดิเดตนายกฯ ควรมีแค่คนเดียวคือ “ดร.สมคิด” เพราะเป็นจุดยืนที่พรรคชูมาตลอด และมั่นใจว่า กระแสตอบรับ-เครดิตของ “สมคิด” เหนือกว่า “คุณหญิงสุดารัตน์” ส่วนตำแหน่งในพรรค ฝ่ายสร้างอนาคตไทยยื่นเงื่อนไขไปว่า ขอให้คงเดิมคือ “อุตตม” เป็นหัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์” เป็นเลขาธิการพรรค แล้วให้ “คุณหญิงสุดารัตน์” เป็นประธานยุทธศาสตร์หรือประธานที่ปรึกษาพรรค
ทำเอา ฝ่าย “ไทยสร้างไทย” ถึงกับล่าถอย เพราะเงื่อนไขดังกล่าว…รับไม่ได้ เลยทำให้การพูดคุยหยุดชะงักลงไป
แต่ก็ยังมีกระแสข่าวออกมาเรื่อยๆ ว่า ยังคงมีการพูดคุยกันอยู่ระหว่าง แกนนำทั้งสองพรรค และมีความคืบหน้าเรื่อยๆ เหลือเพียงแค่ รายละเอียดบางอย่างที่ไม่ลงตัว คือ แคนดิเดตนายกฯกับตำแหน่งในพรรคเท่านั้น เพราะทั้งสองฝ่าย ยังคงยืนยันในข้อเสนอที่เปิดการเจรจาตั้งแต่แรก
จนกระทั่งเรื่องดังกล่าว เริ่มเป็นที่พูดถึงทางการเมืองหลัง “แกนนำทั้งสองพรรค” ออกมาพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณชน เลยทำให้ที่ก่อนหน้านี้เป็น “ข่าวลือ” ตอนนี้หลายคนเห็นร่องรอยแล้วว่า เป็น “ข่าวจริง” และมีความเป็นไปได้ไม่น้อย หากตกลงรายละเอียดเรื่องสำคัญๆ ต่อกันได้ เพียงแต่ระหว่างทางของการพูดคุยรวมพรรคดังกล่าว สิ่งที่แกนนำทั้งสองพรรคต้องระวังเป็นพิเศษ คงไม่พ้น “แรงต้าน-เสียงไม่เห็นด้วย” ของคนในพรรค โดยเฉพาะกลุ่มที่จะเสียประโยชน์ทางการเมือง หรือโดนลดบทบาทไป กลุ่มนี้อาจมีท่าที “ไม่ยอมรับ” และสร้างกระแส จนทำให้การพูดคุย “วงแตก” เอาได้ง่ายๆ
เห็นได้จากหลัง “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ออกมายอมรับถึงดีลดังกล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะแกนนำทั้งสองพรรคคือ “ดร.สมคิด” กับ “คุณหญิงสุดารัตน์” ก็รู้จักกันดี ตั้งแต่ไทยรักไทย
“หากเป็นปลาคนละน้ำ ก็รวมกันลำบาก ถ้าถามว่า พรรคไทยสร้างไทยกับพรรคสร้างอนาคตไทยจะรวมกันได้หรือไม่ นายสมคิด กับคุณหญิงสุดารัตน์ เคยทำงานร่วมกันมา สมัยพรรคไทยรักไทย แต่นายสมคิดเองก็เคยเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์มาก่อน จึงต้องดูว่าที่แยกตัวออกมาจากรัฐบาล เป็นเพราะเรื่องผลประโยชน์หรืออุดมการณ์ไม่ตรงกัน หากเป็นเพราะอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็อาจจะรวมกันได้ พรรคไทยสร้างไทยมีจุดยืนไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการอยู่แล้ว หากจุดยืนตรงกันก็สามารถคุยกันได้ และการพูดคุยจะไม่ทำอย่างลับๆ ล่อๆ แน่นอน” น.ต.ศิธา
เท่านั้นเอง คนในสร้างอนาคตไทยคือ “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” แกนนำพรรคที่ดูแลพื้นที่เลือกตั้งกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาทวิตเตอร์ ในเชิงตั้งคำถามกลับไปถึงการที่คุณหญิงสุดารัตน์ ออกมาจากพรรคเพื่อไทยว่า เป็นเพราะเหตุผลใด เป็นเพราะเรื่องทางการเมืองใช่หรือไม่ และย้ำว่า สร้างอนาคตไทย ยังไงก็ต้องชู “สมคิด” เป็นแคนดิเดตนายกฯ
อันนี้ขนาดเริ่มพูดคุยก็เริ่มเห็นร่องรอย ว่าจะมีแรงต้าน-คนไม่เห็นด้วยจากคนในสร้างอนาคตไทยและไทยสร้างไทย เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งอย่างกรณีของ “สุรนันทน์” ว่าไปก็ไม่แปลก ที่จะมีท่าทีเชิงไม่เห็นด้วยกับการจับมือกับ “คุณหญิงสุดารัตน์”
เพราะปัจจุบัน “สุรนันทน์” เป็นรองหัวหน้าพรรคดูแลพื้นที่กทม. หากดีลรวมพรรคนี้สำเร็จ กลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์ เจ้าของฉายา “เจ้าแม่กทม.” และยังมี “น.ต.ศิธา” ที่มีบทบาทในการเป็นคีย์แมนไทยสร้างไทยในพื้นที่กทม. ก็ต้องขอเข้ามาจัดทัพมีบทบาทในพื้นที่กทม.ทั้งหมด โดยจะต้องนำคนของไทยสร้างไทยที่เตรียมไว้ ส่งคนสมัครส.ส.เขต กทม.ทั้งหมด ทำให้ “สุรนันทน์” ที่ตอนนี้คุมพื้นที่กทม. ให้สร้างอนาคตไทย จะโดนลดบทบาทลงไป ทั้งที่ได้มีการหาตัวผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ไปแล้วจำนวนมาก
เรียกได้ว่าจะเกิดปัญหา “พื้นที่ทับซ้อน” เกิดขึ้นแน่นอน เพราะยังไง “สมคิด-อุตตม” ก็ย่อมเชื่อใจ “สุดารัตน์” ให้คุมกทม.มากกว่า “สุรนันทน์” อยู่แล้ว
อันนี้เฉพาะกทม. และยังมีอีกหลายจังหวัด ที่ทั้งสองพรรคมีการเปิดตัวผู้สมัครไว้แล้ว ก็จะเกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนตามมาเช่นกัน จึงคาดว่าจะเป็นประเด็นที่ทั้งกลุ่มดร.สมคิดกับคุณหญิงสุดารัตน์ ก็คงต้องดูเช่นกันว่า หากรวมพรรคกันเกิดขึ้น จะมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน จนทำให้ “คนในพรรค” ไม่พอใจ จนแยกตัวออกไปกลางคันหรือไม่
ทำให้ หากดีลนี้ ถ้าแกนนำทั้งสองพรรค ต้องการให้เกิดการรวมพรรคขึ้นจริง ก็คงต้องรีบปิดดีลให้เร็วที่สุด คือเอาให้ชัดไปเลย ว่า “รวม-ไม่รวม” และมีเงื่อนไขใดบ้าง และต้องพยายามไม่ให้คนในพรรค ออกมาขัดแข้งขัดขากันเองในช่วงการพูดคุย ไม่เช่นนั้น….มีสิทธิ์วงแตก รวมพรรคไม่สำเร็จแน่นอน !!!
………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”
