วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSรวมพรรค“2 ส.”ปิดดีล “สมคิด-หน่อย” จับมือลุยเลือกตั้ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

รวมพรรค“2 ส.”ปิดดีล “สมคิด-หน่อย” จับมือลุยเลือกตั้ง

สวัสดีปีใหม่ 2556 การเมืองไทยในปีนี้ แน่นอนว่า ภาพใหญ่ ก็คือ “การเลือกตั้งส.ส.” ที่เกิดขึ้นแน่นอนในปีนี้

ไม่ว่าจะเป็นกรณี สภาฯอยู่ครบเทอมสี่ปี 23 มี.ค.2566 หรือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ยุบสภาฯ” ยังไงปีนี้ 2566 จะต้องมีเลือกตั้ง เพราะถูกล็อกไว้ด้วยรัฐธรรมนูญ

ซึ่งเดตไลน์ เลือกตั้งช้าสุด ก็คือ 7 พ.ค.2566 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคยทำปฏิทินไว้ อันนี้คือกรณีสภาครบเทอม แต่หากมีการยุบสภา ที่คือยุบก่อน 23 มี.ค.2566 ก็จะทำให้วันเลือกตั้ง จะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ที่ก็จะมีอยู่สองช่วง คือหย่อนบัตร ก่อนสงกรานต์หรือหลังสงกรานต์ เม.ย.2566 แต่พบว่า ส่วนใหญ่ในวงการเมือง ยังมองว่า หากมีการยุบสภา ก็น่าจะเลือกตั้งหลังสงกรานต์มากกว่า

และแน่นอนว่า เมื่อการเลือกตั้งโดนล็อกไว้ด้วยกติกาตามรัฐธรรมนูญ ทำให้แต่ละพรรคการเมือง ในปีนี้ 2566 ต้องขยับทางการเมืองเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งมากขึ้นจากปีที่แล้วหลายเท่า

ในส่วนของพรรคขนาดใหญ่-พรรคขนาดกลาง ดูจะไม่ค่อยกังวลใจเท่าไหร่ เพราะมีความพร้อมเรื่อง “ทรัพยากร” ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ทั้งเรื่องผู้บริหารพรรค-ตัวคนที่จะลงเลือกตั้ง ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์-นโยบายพรรค-หัวคะแนน-การจัดการภายในพรรค โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือ “ทุน-กระสุนดินดำ-เสบียงกรัง” ที่ต้องใช้ในการเลือกตั้ง

ยิ่งหากเป็นพรรคฝ่ายขั้วรัฐบาลปัจจุบัน ก็จะมีเรื่องนี้เตรียมไว้เยอะอยู่แล้ว หลังคนของพรรคเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงต่างๆ มาร่วมสี่ปี ที่สำคัญไม่ใช่แค่มีกระสุนดินดำที่เตรียมไว้ แต่การเลือกตั้งในช่วงที่ตัวเอง เป็นรัฐบาลแม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่ก็ทำให้มี “อำนาจรัฐ” อยู่ในมือ ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคตอนเลือกตั้งได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ก็ต้องทำเนียนๆ ไม่ให้โดนร้องเรียนต่อ กกต.

ส่วนพรรคการเมืองที่ทุนน้อย ตัวผู้สมัครที่มีในภาพใหญ่ ไม่แข็งแรงพอเมื่อเทียบกับพรรคใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นพรรคตั้งใหม่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่แบรนด์พรรคยังไม่แข็งแรงพอ คนยังไม่ค่อยรู้จักในวงกว้าง ฐานเสียง สมาชิกพรรค หัวคะแนน แฟนคลับ ยังตามหลังพรรคที่มีอยู่ก่อนเดิม หลายช่วงตัว มันก็ทำให้สู้ลำบาก มีความเสี่ยงไม่น้อยอาจล้มเหลวในการเลือกตั้ง อาจเสียเงินฟรีในการทำพรรค จนไม่คุ้มเหนื่อย ไม่คุ้มทุน

ดังนั้นในปีนี้ 2566 ที่เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง ก็น่าจับตาความเคลื่อนไหวเรื่องการ “เจรจาควบรวมพรรค” ที่เป็นลักษณะยุบรวม-ควบรวมกันแบบเป็นทางการ อย่างที่เห็นก่อนหน้านี้เช่นกรณี “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” จากชาติพัฒนา ควบรวมกับ “กรณ์ จาติกวณิช” จากพรรคกล้า จนมาเป็น “ชาติพัฒนากล้า” แบบปัจจุบัน

ทั้งนี้ พรรคที่จะควบรวมกัน ต้องทำให้เสร็จภายในไม่เกินมกราคมนี้ เพราะหากพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยุบสภา แล้วไปเลือกตั้ง 7 พ.ค.2566 เท่ากับการลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วันจนถึงวันเลือกตั้ง ที่ก็คือประมาณช่วงราวๆ 7 ก.พ.2566

เรียกได้ว่า พรรคไหน กลุ่มใด จะควบรวมหรือจะต่างคนต่างสู้ ก็ต้องคุยให้จบภายในมกราคมนี้ เพื่อให้ปลอดภัยมากที่สุด

สำหรับพรรคที่ถูกจับตามองมากสุดเรื่องรวมพรรค คงไม่พ้น “พรรคไทยสร้างไทย” (ทสท.) กับ “พรรคสร้างอนาคตไทย” (สอท.) ของ “2 ส.-รุ่นใหญ่การเมืองไทย” คือ “ส.สุดารัตน์-คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับ “ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

ที่พบว่า แกนนำทั้งสองพรรค ที่จัดโชว์การเจรจาควบรวมพรรคกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ธ.ค.2565 ที่มีการตั้งโต๊ะอาหารพูดคุยและเปิดให้สื่อซักถามเรื่องการควบรวมพรรค ที่ ร้าน The Corner สุขุมวิท 26 พบว่า “ผิดคาดเล็กน้อย” เพราะเดิมที หลายคนคิดว่า วันนั้น “สมคิด-สุดารัตน์” จะแถลงรวมพรรคอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่าทั้งสองพรรคยัง “แทงกั๊ก” ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้

อย่างทาง “คุณหญิงสุดารัตน์-ไทยสร้างไทย” ที่ข่าวว่า เดิมทีจะไม่คุยเรื่องนี้กับกลุ่มดร.สมคิดอีกแล้ว เพราะคุยกันหลายรอบ ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จนทำให้กลุ่มสมคิด หันไปเจรจากับ “สุวัจน์-กรณ์” แทน แต่ปรากฏว่าเมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว ข่าวว่า “เจ๊หน่อย” ต่อสายหา “สมคิด” อีกรอบ เพื่อขอคุยเรื่องรวมพรรค ในข้อสรุปที่ว่า “สมคิด” นายกฯ-“เจ๊หน่อย” หัวหน้าพรรค

แกนนำพรรค 2 ส. นัดหารือ @The Corner

ข้อสรุปวงรวมพรรค @The corner

แหล่งข่าวจากพรรคไทยสร้างไทย เล่าให้เราฟังว่า ช่วงเดือนธ.ค.2565 ที่ผ่านมา คนในพรรคประเมินเรื่องการเลือกตั้งแบบจริงจัง ต่างยอมรับว่า หากจะเข็นพรรคโดดๆ แบบนี้ต่อไป เสี่ยงจะเป็นพรรคต่ำสิบ เลยขอคุยกับ “สมคิด” อีกรอบ จนเป็นที่มาของการเจรจาควบรวมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ข่าวว่า รอบนี้คุยง่ายกว่าเดิมมาก เพราะคุณหญิงสุดารัตน์ลดเงื่อนไขหลายอย่างลงไปเยอะ จากที่เคยคุยกันตอนแรก เช่น จากเดิมคุณหญิงสุดารัตน์ตั้งข้อแม้ว่า หากจะรวมพรรค ยอมให้ ดร.สมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯคนแรก แล้วตัวสุดารัตน์ขอเป็นเบอร์สอง แต่ตำแหน่งในพรรคทั้งหัวหน้าพรรค-เลขาธิการพรรค ต้องเป็นคนของ “ไทยสร้างไทย” คือคุณหญิงสุดารัตน์ ขอเป็นหัวหน้าพรรค และ “น.ต.ศิธา ทิวารี” ขอเป็นเลขาธิการพรรค โดยอ้างว่า หากจะดัน “อุตตม สาวนายน” และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ที่เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มาหลายปีและเคยเป็นนั่งร้านให้ “3 ป.” ทำพลังประชารัฐ จะขัดกับแนวทางพรรคไทยสร้างไทยที่หาเสียงไว้ว่า ไม่เอารัฐบาลประยุทธ์ แต่กลุ่มดร.สมคิดไม่ยอม ทำให้คุณหญิงสุดารัตน์ล่าถอยไป แต่สุดท้าย คุยกันรอบหลัง สุดารัตน์ยอมลดเงื่อนไขลง คือยอมให้ “อุตตม-สนธิรัตน์” มีตำแหน่งในพรรคได้ แต่ต้องได้แค่คนเดียว ไม่ใช่ทั้งสองคน จนเป็นที่มาของการที่ดร.สมคิด กลับมาคุยกับไทยสร้างไทยอีกครั้ง แต่ก็จะพบว่า ทั้งสองพรรคก็ยังแทงกั๊กกันอยู่ ว่าจะเอาอย่างไร หากควบรวมพรรค โดยใช้คำว่า “พันธมิตรการเมือง” เห็นได้จากท่าทีคุณหญิงสุดารัตน์ ไม่ได้ตอบแบบชัดๆเรื่องการควบคุมพรรค

ดร.โภคิน พลกุล-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

“ตกลงกันว่า จะพยายามแสวงหาทางออกให้บ้านเมือง และร่วมมือเป็นพันธมิตร ยุติความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม” (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 29 ธ.ค.2565)

สาเหตุที่การแถลงข่าวร่วมกันของ “ไทยสร้างไทย” กับ “สร้างอนาคตไทย” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ไม่ยอมประกาศ “ควบรวม” ออกมาอย่างเป็นทางการ  ข่าวออกมาหลายกระแส บ้างก็ว่าควบรวมพรรคแน่นอน แต่สาเหตุที่ไม่ประกาศชัด เพราะทั้งสองพรรค เกรงจะผิดกฎหมายพรรคการเมืองได้ ก็เหมือนกับตอน “สุวัจน์” เปิดบ้านให้ “กรณ์” มาแถลงข่าวร่วมกันครั้งแรก ที่ตอนนั้น “สุวัจน์-กรณ์” ก็ไม่ตอบให้ชัด ว่าจะรวมหรือไม่รวม เพราะทั้งสองคนเกรงจะมีปัญหาข้อกฎหมายพรรคการเมือง แต่ต่อมา ก็ควบรวมเป็น “ชาติพัฒนากล้า” ในปัจจุบัน ซึ่งสร้างอนาคตไทยกับไทยสร้างไทยก็จะทำแบบนั้น คือควบรวมพรรคกันแน่นอนแล้ว แต่ระหว่างนี้ ขอให้ทั้งสองพรรคไปเคลียร์เรื่องภายในพรรคให้เรียบร้อยก่อน แล้วจากนั้นมาคุยกันอีกรอบ และจัดให้มีการประชุมใหญ่พรรคของแต่ละพรรค เพื่อมาควบรวมกัน

“ตอนนี้การเจรจาได้ข้อสรุปแล้วเบื้องต้นคือ จะมีการควบรวมแน่นอน โดย จะให้ดร.สมคิด เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่ง ส่วนตำแหน่งในพรรค ได้ข้อสรุปว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค และสนธิรัตน์ เป็นเลขาธิการพรรค” แหล่งข่าวจากพรรคสร้างอนาคตไทยระบุกับเรา

“พรรคชัช-สุเทพ-บิ๊กน้อย” โคม่า

ขณะที่พรรคอื่นๆ ที่รู้ตัวว่าอาจไปไม่รอด ไม่อยากลุยเดี่ยวลงเลือกตั้ง แล้วเปลืองแรง-เปลืองเงิน แต่ได้ส.ส.เข้ามาน้อย หรืออาจไม่ได้เลยสักคน ยังไงตั้งแต่มกราคมนี้ ก็ต้องตัดสินใจจะเอาไงต่อ โดยเฉพาะพวกที่ต้องออกเงิน-ออกหน้า เพื่อจะได้ไม่ “เจ็บตัวฟรี” หลังเลือกตั้ง

แต่พบว่า บางคน-บางพรรค ก็ตัดสินใจก่อนแล้ว อย่างกรณี “ชัช เตาปูน-ชัชวาลล์ คงอุดม” ที่ทิ้ง “พลังท้องถิ่นไท” ที่ต้วเองตั้งมากับมือ ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ และแม้คนในพรรคบางส่วนอยากทำพรรคต่อ แต่ “ชัช”คงไม่เอาด้วย หากตัวเองจะต้องมาควักเงิน-ออกทุน ให้พรรคที่ดูแล้วไปไม่รอด ทำให้โอกาสสูงที่พลังท้องถิ่นไท จะแพแตก เว้นแต่ บางคนจะไปขอกับ “ชัช” ตรงๆว่า จะขอใช้หัวพรรคต่อ และจะขอไปหาเงินมาเอง ไม่ขอควบรวม แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็พร้อมแยกทาง ที่หากออกมาสูตรนี้ “ชัช” คงไม่ขัดข้อง

ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์

ขณะที่ “พรรครวมพลัง” ของ “ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รมว.อุดมศึกษาฯ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นอีกพรรคที่คงรอดยาก แม้ตระกูล “เหล่าธรรมทัศน์” ที่เป็นนายทุนใหญ่ เจ้าของพรรคเวลานี้ไม่ใช่ “สุเทพ” อย่างที่หลายคนเข้าใจ ยังต้องการทำพรรคต่อ แต่ดูแล้วคงเป็นพรรคที่ไม่น่าจะได้ส.ส.เขตเลยสักคน และปาร์ตี้ลิสต์ ก็อาจไม่ได้หรือเต็มที่แค่ 1-2 คน ทำให้มีโอกาสสูงที่ภายในเดือนนี้ “สุเทพ-ดร.เอนก” จะเอาไงต่อ ลุยต่อหรือไปควบรวมกับพรรคอื่นเช่น รวมไทยสร้างชาติ

ส่วนอีกพรรคตั้งใหม่ ที่ดูทรงแล้ว คงไปไม่รอดเช่นกัน คือ “พรรครวมแผ่นดิน” ของ “บิ๊กน้อย-พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” น้องรักบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ขอพิสูจน์ตัวเองด้วยการออกมาทำพรรครวมแผ่นดินหลังล้มเหลว จากพรรคเศรษฐกิจไทย กับธรรมนัส พรหมเผ่า ล่าสุด สถานการณ์ภายในพรรค ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ

พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

ถึงขนาด “จำลอง ครุฑขุนทด” ยังโบกมือลา ยื่นใบลาออกจากเลขาธิการพรรค-สมาชิกพรรครวมแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.2565 ที่ผ่านมา ก็คนขนาดเป็นเลขาธิการพรรคยังไม่อยู่ มันก็ชัดเจนว่า “พรรคบิ๊กน้อย -รวมแผ่นดิน” คงไปรอดยาก

ขณะที่พรรคเล็กอื่นๆ ก็พบว่า ก็พยายามดิ้นรน จะรวมพรรคกันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของ “นพ.ระวี มาศฉมาดล” จากพลังธรรมใหม่ เพราะยึดภาษิต เป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางราชสีห์ แต่เมื่อกติกาเลือกตั้งเปลี่ยน พรรคเล็กโอกาสจะได้ส.ส.หลังเลือกตั้งโดยเฉพาะส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แบบปี 2562 แทบไม่มี หรือมีเต็มที่ก็แค่ 1 เสียง ทำให้กลุ่มพรรคเล็กหลายพรรค ข่าวว่า กำลังขอวิ่งเข้าพรรคกลางๆ เพื่อเอาตัวรอด เช่น เสรีรวมไทย-ชาติไทยพัฒนา แต่ติดที่เงื่อนไขการเข้าพรรค มาในสภาพที่เหมือนหนีตาย เลยทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ จนบางคน ไปบอกกับพรรคใหม่ที่ขอไปสังกัดว่า ขอไปลงสมัครส.ส.เขตแทน ที่อาจได้ลุ้นมากกว่าอยู่ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับห่างไกลจะได้เป็นส.ส.

การเมืองในปีนี้ 2566 เปิดศักราชมา เชื่อได้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวคึกคัก ตลอดนับจากนี้ไปจนถึงช่วงเลือกตั้ง โดยเรื่องการควบรวมพรรค การหาพรรคสังกัดลงเลือกตั้ง คืออีกหนึ่งฉากสำคัญทางการเมือง ที่ต้องติดตามกันให้ดี

…………………………………..

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย “พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img