ถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าในใจของ “เสธ.หนุน–พันโทหนุน ศันสนาคม” ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บอสใหญ่ตึกกองสลาก-สนามบินน้ำ จะคิดอย่างไร และจะเริ่มรู้สึกว่าเก้าอี้ของตัวเองไม่มั่นคงหรือไม่
หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เริ่มคิดว่าถึงคราวต้องสะสาง “ปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา 80 บาท”
ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน และเป็นเรื่องที่มีผลต่อคะแนนนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่น้อย
จนเป็นที่มาของการที่พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 8/2565 เมื่อ 12 ม.ค.65 และมีการนำมาเปิดเผยต่อสื่อเมื่อศุกร์ที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา
คำสั่งดังกล่าว ที่บอกว่าอาจมีผลต่อตัว ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็คือ นายกฯได้ตั้ง “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล”
โดยระบุในคำสั่งตอนหนึ่งว่า ตามที่กลุ่มมวลชนต่างๆ ได้เสนอข้อเรียกร้องต่อนายกฯ ขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น จึงอาศัยอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว เพื่อให้มาแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดฯ
คณะกรรมการดังกล่าวมี “เสี่ยแฮงค์-อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานกรรมการ และยังมี “แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ
พบว่า กรรมการชุดดังกล่าว มีมาจากสายการเมืองแค่สองคนเท่านั้นคือ “เสี่ยแฮงค์-แรมโบ้” นอกนั้นก็เป็นกรรมการที่มาจากสายผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานภาครัฐ เช่น อัยการสูงสุด, ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, ปลัดกระทรวงการคลัง, ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นต้น รวมถึงยังมี “ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” เป็นกรรมการและเลขานุการ ร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย
โดยดาบที่พล.อ.ประยุทธ์มอบให้กับกรรมการชุดนี้หลักๆ ก็เช่น ไปทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด-เสนอแนะแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการเสนอขาย หรือขายสลากในราคาเกินกว่าที่กำหนด และให้รายงานข้อเสนอแนะต่อนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี
เรื่องนี้ ในทางการเมือง ถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะก็อย่างที่รู้กัน คนไทยจำนวนไม่น้อยแม้จะนิยม “เล่นหวย-แทงหวยใต้ดิน” เพราะใช้เงินไม่มาก แต่ได้ลุ้นรวย ได้ลาภกันเดือนละสองครั้ง
กระนั้น ก็มีประชาชนจำนวนอีกไม่น้อยที่นิยมเสี่ยงโชค-ขอลุ้นให้ได้เงินได้รวยแบบเป็นกอบเป็นกำ ได้โชคกันหลักล้าน ผ่านการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกันมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา คนไทยต้องเจอกับปัญหาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมานานหลายสิบปีเช่นกัน แต่ดูเหมือนช่วงหลังๆมานี้ จากที่เคยรับกันได้ สลากกินแบ่งใบละ 80 บาท แต่ต้องซื้อใบละ 100 บาท
แต่ทว่าช่วงหลัง บางงวดข่าวว่า สลากกินแบ่งฯ ราคาต่อใบพุ่งเกิน 100 บาทไปแล้ว ทั้งที่ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ออกมาจากตึกกองสลากฯ ต้นทุนอยู่ที่ใบละ 70.40 บาท เท่านั้น
จนประชาชนเริ่มบ่นและส่งเสียงสะท้อนดังมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มีผลต่อเรตติ้งคะแนนิยมในตัว “นายกฯลุงตู่” พอสมควรกับประชาชนกลุ่มที่นิยมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ต้องไม่ลืมว่า เรื่องปัญหาสลากกินแบ่งขายเกินราคา เป็นเรื่องที่่ฝ่ายค้าน ฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์ นำมาดิสเครดิตการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด ทำนองว่า แค่เรื่องง่ายๆ สลากกินแบ่งฯขายเกินราคา พล.อ.ประยุทธ์ยังแก้ไม่ได้ แล้วจะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องใหญ่ๆ ได้ยังไง ซึ่งจะพบว่า วาทกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างความหงุดหงิดใจให้พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน
การขยับของพล.อ.ประยุทธ์ ที่เอาเรื่องสลากกินแบ่งฯที่คนไทยนิยมซื้อกัน แต่เจอปัญหาขายแพงเกินกว่าราคาที่ระบุในสลากกินแบ่ง ขึ้นมาหวังสะสางในช่วงนี้ ที่รัฐบาลกำลังเจอปัญหาประชาชนไม่พอใจเรื่องปัญหา “หมูแพง-ของแพง-ค่าครองชีพสูง”
ในทางการเมือง จึงถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์คงเห็นว่า หากปล่อยให้เรื่องนี้ เกิดขึ้นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยประชาชนพากันบ่นรัฐบาลว่าซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาไม่ตรงปก มันจะกลายเป็น “แรงเหวี่ยง-ลูกผสม” ไปกับปัญหาค่าครองชีพสูงได้
เลยทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกลูกแอ็คชั่นดังกล่าว ด้วยการตั้งกรรมการชุดนี้ขึ้นมา เพื่ออย่างน้อยก็อ้างได้ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับเสียงเรียกร้องของประชาชน ที่ให้ลงมาดูแลปัญหาดังกล่าว แต่ว่าตั้งกรรมการไปแล้ว จะใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะมีข้อสรุปและข้อเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว สุดท้ายรัฐบาลจะเอาไปทำและทำแล้วได้ผลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ ยังไงตั้งกรรมการเอาไว้ก่อน เพื่อกลบกระแสไม่พอใจของประชาชนเรื่องซื้อสลากแพงฯ ไปพลางก่อน
จึงน่าสนใจว่า เมื่อพล.อ.ประยุทธ์มองว่า ปัญหาสลากขายแพง รัฐบาลนิ่งเฉยไม่ได้ จนมีการระบุในคำสั่งตั้งกรรมการฯชุดดังกล่าวว่าเป็นเพราะ “กลุ่มมวลชนต่างๆ ได้เสนอข้อเรียกร้องต่อนายกฯ ขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาล”
เรื่องนี้ คงทำให้ “พันโทหนุน ศันสนาคม” ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่วงการท็อปบู๊ตเรียกขานกันก่อนหน้านี้ว่า “เสธ.หนุน” ตั้งแต่สมัยเป็น “ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์” ก่อนโยกมาเป็นรองผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ยุคพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผบ.ทบ.เป็นประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
ก่อนที่ต่อมา จะได้รับการสรรหาและคัดเลือกให้เป็นผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จนที่ประชุมครม. รัฐบาลชุดปัจจุบัน เห็นชอบให้ “เสธ.หนุน” เข้ามาเป็นเบอร์หนึ่ง-บิ๊กตึกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ย่านสนามบินน้ำ ติดกับตึกสำนักงานป.ป.ช. ที่เข้ามารับตำแหน่งตามมติครม.เมื่อ 20 กรกฎาคม 2564 โดยได้ค่าตอบแทนคงที่ในอัตรา 280,000 บาทต่อเดือน ที่มากกว่ารัฐมนตรีเสียอีก ซึ่งหลังจากนี้ เชื่อได้ว่า “เสธ.หนุน” ผอ.กองสลากฯ คงนิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว
เพราะเมื่อระดับ นายกฯลงมาออกลูกแอ็กชั่นเองแบบนี้ ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ต้องรู้แล้วว่า นายกฯชักไม่พอใจกับเรื่องที่สลากกินแบ่งรัฐบาลขายเกินราคา จนมีคนไปร้องเรียนนายกฯถึงทำเนียบรัฐบาล
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า “เสธ.หนุน” คือคนของ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์” อดีตผบ.ทบ. น้องรักบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ก็ตาม เพราะถ้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แก้ปัญหาขายสลากแพงเกินราคาง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้ ก็คาดว่า “บิ๊กตู่” ก็คงต้องรี-แอ็คชั่น กลับไปที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานต้นสังกัดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและตัว “ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” แน่นอน
จึงน่าติดตามว่า การทำงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด จะศึกษาจนได้ข้อสรุปออกมาได้หรือไม่ว่า ทำไมสลากกินแบ่งรัฐบาล ถึงขายเกินราคามาหลายสิบปี และจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาแบบถาวรเสียที
รวมถึงต้องดูด้วยว่า การนั่งเป็น “เบอร์หนึ่ง” ตึกสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ที่สนามบินน้ำ ของ “เสธ.หนุน-พันโทหนุน ศันสนาคม” หลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร หลังปัญหาสลากแพง กำลังกลับมาทำให้ บิ๊กๆ ในกองสลากฯ เก้าอี้เริ่มร้อนเสียแล้ว
……………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย ….“พระจันทร์เสี้ยว”
