วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSเขย่าวงการสลาก แก้หวยแพง ‘แรมโบ้-บิ๊กโจ๊ก’ “ทุบหม้อข้าว”ใคร?
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เขย่าวงการสลาก แก้หวยแพง ‘แรมโบ้-บิ๊กโจ๊ก’ “ทุบหม้อข้าว”ใคร?

ถามไถ่กันอื้ออึง ถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหา “ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา” หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “หวยแพง-สลากแพง” ว่าจนถึงป่านนี้ “รัฐบาลลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว?

เพราะเห็นรัฐบาลออกลูก Action ทำขึงขัง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ว่าจะเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ เห็นได้จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ 14 ม.ค. 2565 ตั้ง “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขาย หรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล”

โดยมี อนุชา นาคาศัย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ และมีกรรมการที่มาโดยตำแหน่งและกรรมการที่แต่งตั้งเป็นการเฉพาะตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการฯ และต่อมา “อนุชา” ก็ตั้ง “เสกสกล” ให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด โดยอนุกรรมการชุดดังกล่าว มี “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมวงด้วย ในฐานะรองประธานอนุกรรมการ

ผ่านมาถึงตอนนี้ นับแต่ “บิ๊กตู่” ตั้งกรรมการชุดดังกล่าว กินเวลามาร่วม จะสองเดือน ประชาชนเลยสงสัยกันว่า มีมาตราการอะไรออกมาเป็นรูปธรรมบ้างหรือยัง เพราะทุกวันนี้ ก็ยังต้องซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เกินราคา 80 บาทกันอยู่

เลยไม่แปลกที่จะมีเสียงบ่นจากประชาชนตลอดทำนองว่า แค่เรื่องขายสลากเกินราคา รัฐบาลยังแก้ไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องใหญ่ๆของประเทศ

อย่างไรก็ตาม การทำงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสลากแพงฯของรัฐบาล ที่ผ่านมาสองเดือน ดูเหมือนจะเริ่มขยับอะไรออกมาที่แลดูเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการแก้ปัญหาหวยแพง โดยล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา “แรมโบ้-เสกสกล” เรียกประชุม คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาขายสลากกินแบ่งฯเกินราคา โดยมี “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” และตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดร่วมวงประชุมด้วย

ผลการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีสาระสำคัญหลักๆ ก็คือ “เสกสกล” ได้ระบุกลางที่ประชุม โดยย้ำว่าเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์เอาจริงแน่นอน โดยมีการติดตามการทำงานของคณะกรรมการชุดใหญ่ และอนุกรรมการฯที่ตั้งมาทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาสลากเกินราคาให้ได้ “เพื่อทำให้สำเร็จเพื่อเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล” และกรรมการกำหนดไว้ว่า ภายในสองเดือนนับจากนื้ คือไม่เกินเดือนพ.ค.นี้ ต้องออกแนวทางแก้ไขปัญหาให้ได้ผลในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีการประสานกับ “บิ๊กโจ๊ก” ว่า ขอให้ไปพิจารณาเรื่องการตั้งชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อไปจัดการเรื่องการขายสลากเกินราคา

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล-เสกสกล อัตถาวงศ์

“ถ้าใครขายเกินราคา โดยเฉพาะนายทุนใหญ่ ตำรวจเจอจุดไหนจะปฏิบัติการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดทันที ไม่ละเว้นใครไว้ทั้งสิ้น ขณะนี้รายใหญ่ไม่มีแล้ว “5 เสือ” ไม่มีแล้ว ขอให้เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการในยุคของพล.อ.ประยุทธ์ จะแก้ปัญหาราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลมาอยู่ที่ราคา 80 บาทได้อย่างแน่นอน” เสกสกล ระบุไว้ หลังสังคมวิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ตั้งกรรมการแก้ปัญหาสลากแพงมาสองเดือนแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ในแวดวงการเมือง ก็มีการมองและตั้งข้อสังเกตุทางการเมืองกันว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ตั้งคณะกรรมการศึกษาการแก้ปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาดังกล่าว นอกจากทำเพื่อหวังสร้างเป็นผลงานรัฐบาลแล้ว เรื่องดังกล่าว ยังมีนัยยะการเมืองอะไรด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะกับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐและอดีตรมช.เกษตรฯ ที่ถูก “บิ๊กตู่” ปลดออกจากครม. จากควันหลงศึกซักฟอกเมื่อก.ย.ปีที่แล้ว  

เพราะเป็นที่ทราบกันดีในวงการการเมืองและวงการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า “ธรรมนัส” ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเป็น “เจ้าของ” ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขวัญฤดี ตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลรายใหญ่ ที่เคยเป็นหนึ่งในห้าเสือกองสลากฯมาแล้ว อีกทั้ง “ธรรมนัส” เคยแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช.ตอนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่า มีรายได้จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเดือนละ 3 ล้านบาท หรือประมาณปีละ 36 ล้านบาท

จนเคยถูกฝ่ายค้านคือ “นิคม บุญวิเศษ” ส.ส.พลังปวงชนไทย นำเรื่องนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ธรรมนัส” เมื่อปี 2563 โดยตั้งข้อสังเกตุว่า อาจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯที่เป็นเท็จ

“มีข้อเท็จจริงว่า ร.อ.ธรรมนัสไม่มีโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว หลังจากที่ คสช. แก้ปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ทำให้บริษัทที่มีร.อ.ธรรมนัสเป็นหุ้นส่วน ได้รับโควตาสลาก ถูกริบโควตา ธรรมนัสไม่ควรมีรายได้จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนเรื่องราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลแพงนั้น ราคาต้นทุนอยู่ที่ใบละ 70.40 บาท แต่พ่อค้าแม่ค้าเอามาขายใบละ 100 บาท แต่ได้กำไรแค่ใบละ 5 บาท แสดงว่า นายทุนใหญ่จะได้กำไรตกใบละ 25บาท จึงถามพ่อค้าแม่ค้าว่า หากอยากได้โควตาสลาก ต้องทำอย่างไร เขาตอบว่าให้ไปถามบิ๊กป้อม ทุกวันนี้พิมพ์สลากต่องวดละ 100 ล้านฉบับ จากเดิมพิมพ์ 60-70 ล้านฉบับ เขาเล่ากันว่า จัดสรรให้ร.อ.ธรรมนัสดูแล 80 ล้านฉบับ หากนำไปขายจะทำให้กำไรกว่า 300 ล้านบาทต่องวด และนำเงินที่ได้มาดูแลคนตรงนี้”

อย่างไรก็ตาม “ธรรมนัส” ชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านกลางสภาฯ และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลไว้อย่างน่าสนใจว่า

“5 เสือกองสลากฯ ก็มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค แต่รัฐบาลชุดที่แล้ว มีนโยบายว่า ไม่ให้มี 5 เสือ หรือผู้ค้าสลากฯรายใหญ่ ขณะนั้นผมได้รับสัมปทานในฐานะคู่สัญญากับกองสลากฯ ครั้งสุดท้าย วันที่ 4 ส.ค.2558 จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่มีสัมปทานกับกองสลากฯแล้ว แต่ที่ผมสำแดงทรัพย์สิน ว่ามีรายได้จากการจำหน่ายสลากฯ เดือนละ 3 ล้านบาท ข้อเท็จจริงคือ รายได้ส่วนนี้ คือรายได้จากที่ผมไปเช่าแผงค้าสลากฯ เป็นการเช่าช่วงจากเจ้าของตลาด เกือบ 10 แผง เนื่องจากต้องหล่อเลี้ยงลูกค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันมากว่า 10 ปี”(ธรรมนัส-26 ก.พ.2563)

จึงเท่ากับว่า “ธรรมนัส” ยังคงทำธุรกิจในวงการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่นั่นเอง!!!

ด้วยเหตุนี้้จึงไม่แปลกที่ วงการการเมือง จะพากันตั้งข้อสังเกตุว่า การที่ “บิ๊กตู่” ตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาแก้ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลขายราคาแพง จะมีนัยยะการเมืองอะไรกับ “ธรรมนัส” หรือไม่ เพราะหากดูจากช่วงจังหวะเวลาที่มีการตั้งกรรมการ คือกลางเดือนม.ค. 2565 ก็คือช่วงหลังมีการปลด “ธรรมนัส” ออกจากครม.เมื่อก.ย. 2564 จากนั้น ก็มีควันหลง ระหองระแหงทางการเมืองระหว่าง “บิ๊กตู่” กับ “ธรรมนัส” เรื่อยมาเป็นระยะๆ

อนุชา นาคาศัย

จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ตั้งกรรมการชุดดังกล่าว เมื่อ 14 ม.ค.โดยมี “อนุชา นาคาศัย” เป็นประธานฯ ที่ก็คือ อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐที่เป็นได้แค่ไม่นาน ก็ต้องกระเด็นหลุดจากตำแหน่งเพราะถูก “ธรรมนัส” เคลื่อนไหวขอเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ “อนุชา” ได้แต่กลืนเลือด

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หลังพล.อ.ประยุทธ์ตั้งกรรมการชุดดังกล่าว ทำให้ส.ส.ในกลุ่มธรรมนัส มองไปในแนวว่า เรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์มีอะไรทางการเมือง กับ “ธรรมนัส” ที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือไม่

และต่อมา “พลังประชารัฐ” ไปแพ้เลือกตั้งซ่อม ที่สงขลากับชุมพร ที่ “ธรรมนัส” ลงไปกำกับดูแลการเลือกตั้งด้วย และตามมาด้วยการที่กลุ่มธรรมนัส พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเมื่อ 19 ม.ค.เพื่อมาตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ “ธรรมนัส” ก็ยังคงเขย่าเสถียรภาพ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ตลอดเวลา ล่าสุดก็แสดงพลังไปนัดกินข้าวกับพวกส.ส.พรรคเล็ก ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ธรรมนัส” กำลังเริ่มเคลื่อนไหวแสดงพลังการเมืองเขย่าขวัญ “บิ๊กตู่” ว่าอาจเจอศึกหนัก ในช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังเปิดสภาฯ 22 พ.ค. เพราะอาจมีส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยและส.ส.พรรคเล็ก ไม่กดโหวตไว้วางใจให้

ขณะที่ “เสกสกล” ก็ประกาศแล้วว่า กรรมการแก้ปัญหาสลากแพง ต้องการให้ได้ข้อสรุปแก้ปัญหาเรื่องนี้ ออกมาภายในไม่เกินเดือนพ.ค. ที่ก็คือช่วงเปิดสภาฯพอดี

คนในวงการการเมืองเลยมองกันไปว่า เรื่องนี้ นอกจากพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการทำให้เรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลขายไม่เกิน 80 บาทเพื่อเป็นผลงานรัฐบาล

อีกด้านหนึ่ง ยังอาจเป็นเรื่อง “การวางเหลี่ยมเฉือนคม” เพื่อแก้เกมการเมืองกับ “กลุ่มธรรมนัส” ที่มีธุรกิจในวงการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่เป็นอีกหนึ่งหม้อข้าวของ “ธรรมนัสกรุ๊ป” เพื่อไม่ให้ “ธรรมนัส” ออกตัวแรงทางการเมือง ในช่วงศึกซักฟอก ไม่เช่นนั้น อาจโดนตลบหลังเอาได้

…………………….

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย ….“พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img