วันพฤหัสบดี, เมษายน 18, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS‘วัคซีนสายพันธุ์ไทย’ ใกล้ความจริง-หยุดโควิด
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘วัคซีนสายพันธุ์ไทย’ ใกล้ความจริง-หยุดโควิด

ในโอกาสวาระดิถีเทศกาลสงกรานต์ “ราษฎรเต็มขั้น” ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน เพราะในรอบปีกว่าทำงานแทบไม่ได้หยุดหายใจ เป็นทัพหน้ารับมือกับศัตรูที่ไม่เห็นตัว ทำงานอย่างหนักหน่วง เพื่อให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยยังมีลมหายใจผ่านหายนะครั้งใหญ่ไปด้วยกัน

นับเป็นเทศกาลสงกรานต์ปีที่ 2 ที่คนไทยส่วนใหญ่ทำกิจกรรมอยู่โยงกับบ้านของตัวเอง เด้งรับมาตรการของศบค.หรือศูนย์บริการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 

เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดระลอกสามของไวรัสร้ายสายพันธุ์อังกฤษ เล่นเอาคนไทยติดเชื้อเกือบครบ77จังหวัด ระส่ำระสายกันทั้งประเทศ และมีโอกาสเกิดระบาดระลอกใหม่ตามมาอีก  

เพราะแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขให้คำแนะนำว่าตราบใดที่ประชากรภายในประเทศไทยยังไม่ได้รับการถลกแขนเสื้อฉีดวัคซีน50-60% เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ “Herd Immunity” เป็นสูตรรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดให้ลดลงได้อย่างมาก  

เปิดประตูให้ประชาชนสามารถเข้าสู่วิถีนิวนอร์มอลได้ตามปกติอีกครั้งในระยะเวลาที่เร็วขึ้น หลังจากทั่วประเทศและทั่วโลกมีภูมิต้านทานในระดับสูง  

“ราษฎรเต็มขั้น” ก็ได้จังหวะ Work from Home มีข้อดีที่จับต้องได้คือ ประหยัดเวลาการเดินทางไปทำงาน มีเวลาอ่านหนังสือหนังหามากขึ้น โดยได้อ่านบทความดีจากสำนักข่าวอิศรา เรื่อง “ก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเอง เปิดความคืบหน้าวิจัยวัคซีน-ยาต้านโควิดของคนไทย” เชื่อว่าเราชาวไทยต่างเฝ้ารอวัคซีนสายพันธุ์ไทยป้องกันภัยโควิดอย่างใจจดใจจ่อ 

ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติวัคซีนต่างประเทศ 3 ยี่ห้อ คือ “ซิโนแวค” จากจีน “แอสตร้าเซนเนก้า” จากสหรัฐอาณาจักร และ “จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน” จากสหรัฐอเมริกา 

แต่การพึ่งพาวัคซีนต้านโควิดจากต่างประเทศใน “ยุคตลาดเป็นของผู้ขาย” ย่อมต่อรอราคาสั่งจองได้ไม่มากและไม่มีความแน่นอนได้รับวัคซีตรงตามกำหนดเวลา 

ฉะนั้นไปดูวัคซีนสายพันธุ์ไทยที่อยู่ในขั้นตอนการทดลอง มีความคืบหน้าไปถึงขั้นไหนและเมื่อไหร่ไทยถึงผลิตเครื่องมือควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้ เพื่อเปิดศักราชการพึ่งพาตนเองและเป็นการทดสอบความพร้อมรับมือกับโรคระบาดอื่นๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต 

องค์การเภสัชกรรม

โดย องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จับมือ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ทำวิจัย “วัคซีนโควิด19 ชนิดเชื้อตาย” อยู่ระหว่างทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 

อภ.จับมือกับสถาบัน PATH ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิต “วัคซีนต้านโควิด19 ชนิดเชื้อตาย” โดยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ซึ่งผ่านการทดลองในสัตว์พบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนหนามของไวรัสโควิดได้ดี ปลอดภัย  และสามารถผลิตได้ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ มีความเสถียรภาพมากในระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่ง 

เริ่มวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 460 คน โดยประเดิมฉีดอาสาสมัครกลุ่มแรก 18 รายไปแล้ว 22 มี.ค.64 ยังไม่พบผลข้างเคียง คาดปลายปี 64 ได้สูตรวัคซีนที่ดีที่สุดนำไปศึกษาต่อในระยะที่ 3 คาดปี 65 ยืนขอทะเบียนตำรับและผลิตในอุสาหกรรม 

วัคซีนภายใต้เครื่องหมายของอภ. ขอย้ำเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักใช้กันมายาวนานและได้รับความนิยมในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 

นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ อภ. ระบุ “ได้ทดสอบวัคซีนอภ.ต้านเชื้อกลายพันธุ์ โดยเฉพาะโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่ทางการแพทย์มีความเป็นกังวลต่อสายพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก” ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่าง อภ.กับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพชาติ สวทช. 

ขณะเดียวกันที่ศูนย์วิจัยวัคซีนคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เร่งทำวิจัย “วัคซีนChulaCov19” อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือนพ.ค.64 

ข่าวล่าของวงการสาธารณสุขไทย พวกเราชาวไทยจะได้รับวัคซีน ChulaCov19 ชนิด mRNA ที่ถูกพัฒนาโดยทีมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จับมือบริษัทไอโอเนท-เอเชีย จำกัด 

หลังพบผลการทดลงฉีดวัคซีนต้านโควิดในหนูและลิง ปรากฏว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับสูง โดยป้องกันหนูไม่ให้ป่วยได้ 100% และยับยั้งไม่ให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ 100% เมื่อได้รับวัคซีน 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ 

ChulaCov19 มีจุดเด่นเก็บไว้ในอุณหภูมิตู้เย็นปกติ 2-8 องศาเซลเซียสได้อย่างน้อย 1 เดือน และกำลังรอผลวิจัยที่ 3 เดือน จึงไม่มีปัญหาการขนส่งกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศไทย 

กำลังทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เริ่มเดือนพ.ค.64 เสร็จต้นเดือนก.ค.64 และจะเริ่มทดลองระยะ 2 กับอาสาสมัคร 300-600 คน ก่อนทดลองระยะ 2B กับกลุ่มตัวอย่าง 5 พันคน เพื่อดูความปลอดภัยในรอบสุดท้าย 

“วัคซีน ChulaCov19 อาจไม่ต้องทำการทดลงในระยะที่ 3” หากพบว่า mRNA กระตุ้นภูมิได้ดี ตามที่ได้ขึ้นบัญชีวัคซีนการวิจัยกับองค์การอนามัยโลก ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลวัคซีนทั้งหลายในโลกว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากน้อยแค่ไหน อีก 6 เดือนถึงทราบผล 

cr / สภากาชาดไทย

และกำลังตั้งแท่น “พัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ต้านเชื้อโควิดกลายพันธุ์ อยู่ระหว่างทำวัคซีนสูตรคอกเทล ป้องกันสายพันธุ์ดั้งเดิม สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ในอังกฤษ สายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ในแอฟริกาใต้ จะเริ่มทดลองในสัตว์ภายใน 2 เดือน ควบคู่กับการทดลงวัคซีนรุ่นแรกในคนระยะที่ 1-2 เมื่อทุกอย่างสำเร็จ โรงงานผลิตวัคซีนของไบโอเนท-เอเชีย จะสามารถผลิตวัคซีนได้ครบวงจร” ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19ฯ ระบุ 

นับเป็นข่าวดีๆ ที่จรรโลงหัวใจของคนไทยให้เบิกบานในยามวิกฤติ ดูตามปฏิทินเชื่อมั่นวัคซีนสายพันธุ์ไทยคงได้ใช้ภายในปี 2565 แม้ดูล่าช้า แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นความมั่นคงของประเทศอีกมิติหนึ่ง  

แต่จะเป็นข่าวดีมากยิ่งขึ้นหาก “รัฐบาลลุงตู่” กล้าใช้อำนาจจัดการขบวนการสีเทาทั้งหมด ไม่ให้เกิด “คลัสเตอร์” ใหม่อีกต่อไป ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นในสนามมวยกองทัพบก บ่อนการพนันใหญ่ภาคตะวันออก แรงงานผิดกฎหมาย และผับดังบนถนนทองหล่อ ว่ากันว่าเป็นแหล่งฟอกเงินเบอร์ต้นๆของประเทศ 

หากยังปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่บนถนนขบวนการสีเทาอีก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรพิจารณาตัวเอง โดยลาออกจากนายกรัฐมนตรีเถอะครับ เพื่อ ล้มระบอบประยุทธ์ โดยไม่ต้องรอให้มวลชนระดมขับไล่ 

…………………………

คอลัมน์ : ไขกุญแจ-ไขแหลก

โดย “ราษฎรเต็มขั้น”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img