“พลังเสรีนิยม”ยืนตระหง่านท้าทาย “ระบอบประยุทธ์”

ยุทธศาสตร์ขบวนการเสรีนิยมแหลมคมขึ้นทุกวัน ท้าทายขบวนการอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นปีกที่ถืออำนาจรัฐ มีทุนใหญ่ ชนชั้นนำ คอยสนับสนุนอีกแรง

ถึงวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า เป็นหัวจักรรถไฟความเร็วสูงของ พลังเสรีนิยม ขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจ เริ่มมองเห็นแสงสว่างแห่งชัยชนะ แม้ต้องใช้เวลาผ่านสนามเลือกตั้งใหญ่อีกอย่างน้อยถึง 2 รอบ ถึงมีโอกาสเป็นพรรคใหญ่

ดัชนีความมั่นใจตัวล่าสุด ทำให้พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง คือ ยอดบริจาคภาษีเงินได้ให้กับพรรคการเมืองประจำปี 2563 โดยพรรคที่ได้รับบริจาคภาษียอดเกิน 1 ล้าน มี 5 พรรค

พรรคก้าวไกล นำโด่ง 12,695,739.77 บาท ตามด้วยพรรคประชาธิปัตย์ 3,241,639.30 บาท ต่อด้วยพรรคกล้า 2,532,740.71 บาท

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ 2,032,004.08 บาท แกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย 1,422,517.81 บาท แกนนำฝ่ายค้าน รั้งท้าย

พอบ่งชี้ให้เห็นว่า “ชนชั้นกลาง” ที่เสียภาษีส่วนใหญ่ คนในกรุงเทพฯ ปริมณฑล สนใจและสนับสนุนพรรคก้าวไกล…

…ข้อมูลบริจาคภาษีเงินได้ให้พรรคการเมือง นับเป็นผลโพลวัดความนิยมได้ชัดกว่าโพลบางสำนักด้วยซ้ำไปนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ

ดัชนีชี้วัดอีกตัวที่พรรคก้าวไกลมั่นใจเพิ่มมากขึ้น หลังถอดบทเรียนการเมืองในสภาและนอกสภา เพื่อปรับทัพวางยุทธศาสตร์ เสริมกลยุทธ เดินตามยุทธวิธี

ทั้งกำหนดนโยบาย การเฟ้นหาสมาชิก การวางว่าที่ผู้สมัคร จัดตั้งคณะทำงานจังหวัดเพิ่ม ให้บรรจบกับสนามการเมืองท้องถิ่น สอดรับกับยุทธศาสตร์ของคณะก้าวหน้า ซึ่งปักหมุดสนามท้องถิ่น ยกเว้นสนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พรรคก้าวไกลขอส่งประกวดผู้ว่าฯกทม.และส.ก. ประชันขันต่อกับพรรคบิ๊กเนม

เพื่อให้การเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ นั้นหมายความว่าผลประโยชน์ทั้งหมดตกแก่ประชาชนประหยัดงบประมาณแผ่นดิน

ยิ่งได้สนทนาธรรมต่างวันต่างเวลากับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช แม่ทัพคณะก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล

สะท้อนให้เห็นว่า ขบวนเสรีนิยมนกำลังผลิบานในสังคมไทย โดยที่อำนาจรัฐมองเป็นภัยต่อความมั่นคง พลิกเหลี่ยมกฎหมายเล่นงานทุกกระบวนท่า

จากยุบพรรคอนาคตใหม่ ออกแบบกติกาประเทศใหม่ แต่พลังเสรีนิยมยังเดินหน้าสู้ทุกรูปแบบ

แม้แต่ระบบไพรมารีโหวตของแสลงต่อทุกพรรคการเมือง เพื่อเฟ้นหาตัวผู้สมัครส.ส.ที่เป็นคนของประชาชนในพื้นที่จริง ผ่านกลไกสาขาพรรคและสมาชิกพรรคในเขตเลือกตั้งนั้น ไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนหรือผู้มีอิทธิพลภายในพรรค

พรรคส้มจี๊ดยังเล่นตามกติกาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างไร้ลิมิต ต่างกับอีกหลายพรรคการเมืองที่ประสบปัญหาในเรื่องนี้

หากสำนักงานกกต.นำเสนอร่างแก้ไขกฎหมายลูกเกี่ยวกับพรรคการเมือง โดยสอดไส้แก้กระบวนการทำไพรมารีโหวต โดยอ้างเป็นความต้องการของพรรคการเมือง หลังเผชิญปัญหาในการปฏิบัติตาม เพราะสังคมไทยยังไม่ตื่นตัวที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรค

หากย้อนหลังกลับไปการเลือกตั้งครั้งแรก คสช.ก็ออกคำสั่งยกเลิกการทำไพรมารีโหวต ทั้งที่เป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งในการปฏิรูปการเมือง เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนจริง

ฉะนั้นหากมีการผ่อนคลายทำไพรมารีโหวต เท่ากับทำลายกลไกการปฏิรูปการเมือง

พลังอนุรักษ์นิยม ก็กินเนื้อตัวเองไปเรื่อย โดย พลังเสรีนิยม รอแค่เวลาเข้ากุมอำนาจรัฐต่อไป

…………………….

คอลัมน์ : ไขกุญแจ-ไขแหลก

โดย #ราษฎรเต็มขั้น