วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกEXCLUSIVE'สุเทพ'ซัด'อีแอบ'หลบหลังม็อบ จ้องก่อสงคราม-ล้มล้างสถาบัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘สุเทพ’ซัด’อีแอบ’หลบหลังม็อบ จ้องก่อสงคราม-ล้มล้างสถาบัน

“สุเทพ” ยืนยันการชุมนุมม็อบเยาวชน ทำกันเป็นขบวนการ มีแกนนำบงการ ทำตัวเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร ยุยงเยาวชนอยู่เบื้องหลัง ต้องการให้เกิดสงครามการเมือง ดึงต่างชาติเข้ามาคุมคนไทย มั่นใจปชช.ไม่ยอมให้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์แน่นอน

สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้นทุกวัน มีการกำหนดขีดเส้นตายให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกภายใน 3 วัน ในขณะที่กลุ่มปกป้องสถาบันก็เริ่มที่จะออกมาซึ่งอาจจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ “เดอะ คีย์ นิวส์ : The Key News” ได้มีโอกาสพูดคุยกับแกนนำ อย่าง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตแกนนำ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ว่ามองการชุมนุมในเวลานี้อย่างไร ไปฟังกัน….

@@ มองสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่ม็อบเยาวชนออกมาชุมนุมที่ไปเช้ากลับเย็นอย่างไร หรือ มองว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจ และเตรียมการมาอยู่แล้ว?

A : สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน…ผมมองว่า เป็นการต่อสู้ในระบบ และการต่อสู้นอกระบบ โดยแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การต่อสู้กันในระบบคือการต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองต่าง ๆ วันนี้เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายที่สู้แล้วไม่สามารถยึดกุมอำนาจประเทศได้ พยายามทุกวิถีทางที่จะโค่นล้มรัฐบาล หาทางที่จะให้ตัวเองพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นผู้ยึดกุมอำนาจของรัฐอีกต่อไป และความพยายามอย่างที่ว่าเห็นได้ชัดว่ามีการบิดบือนข้อเท็จจริง เช่น การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการเลือกจากสมาชิกรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนพวกนี้ยกมาโจมตีว่า “ไม่เป็นธรรม-ไม่ถูกต้อง” อ้างว่านี่เป็นการสืบทอดอำนาจ ที่จริงคนละส่วน 

ถ้าคุณอ้างว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ คุณต้องดูข้อเท็จจริงว่า ที่เขาได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้มาเพราะอำนาจของ คสช. แต่มาเพราะว่า สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเลือกในสภา จะบอกว่าเพราะส.ว.สนับสนุน ข้อเท็จจริงก็ไม่ใช่ เพราะวันที่พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยรัฐสภา เฉพาะคะแนน ส.ส.ก็เกินครึ่งอยู่แล้ว สิ่งนี้ชัดเจน ทำตามกฎเกณฑ์ กติกาของรัฐธรรมนูญ และผมเข้าใจดีว่านี้เป็นธรรมชาติของคนเหล่านี้

ผมยังจำครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีและมีคะแนนมากกว่า พล.ต.อ.ประชา พรมนอก ซึ่งฝ่ายพรรคเพื่อไทยเสนอ ก่อนลงคะแนนเลือกนายกฯในสภาไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อลงคะแนนแพ้ นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็บอกว่านายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯที่ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง อ้่างโน้น อ้างนี่ ไปเรื่อย นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ผมเคยเห็นมาแล้ว และวันนี้เขาก็ทำอย่างเดียวกัน

ประการที่สอง อ้างว่า รัฐธรรมนูญไม่ดี บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่เหมาะสม และพยายามที่จะเรียกร้องต่อสู้ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนถึงขั้นว่า เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยมีเจตนาชัดเจนว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทำให้เป็นประเด็น ทำให้เกิดความสับสนในบ้านเมือง รัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะมีบางบท บางมาตรา ที่อาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม บางพวก แต่ข้อเท็จจริงคือ กว่าจะประกาศเป็นรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ ได้ไปถามประชามติประชาชน และมีประชาชน 16.8 ล้านคน ที่พร้อมใจกันลงประชามติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญได้ เพราะฉะนั้นใครจะคิดบิดเบือนไปอย่างไร ต้องเคารพความคิดของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่มาทำประชามติก่อน 

วันที่ทำประชามติ ก็เห็นชัดคนที่ไม่เห็นด้วยก็ออกมารณรงค์เพื่อให้คนลงประชามติ “ไม่เห็นชอบ” ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ ก็ทำชัดเจนแล้ว ทำกันเต็มที่แล้ว เวลามีผลแพ้-ชนะ ออกมาก็ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ นี่คือหลักการธรรมดา ศาลรัฐธรรมนูญ เคยวินิจฉัยว่า “อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของประชาชน” ฉะนั้นเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ใช้อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญอย่างนี้แล้ว ก็ต้องเคารพ เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ต้องไปถามประชาชนก่อนว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ เขายินยอมหรือไม่ จุดยืนของผมคัดค้าน ต่อต้าน ไม่เห็นด้วยกับการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ

เรื่องที่ผมถือเป็นเหตุผลสำคัญในการต่อต้าน คัดค้าน ในการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับก็คือ เรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้จะประกาศว่าในการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับจะไม่ไปแตะต้องหมวดที่ 1 หมวดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่โดยข้อเท็จจริง…ถ้าใครไปศึกษารัฐธรรมนูญยังมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหมวดอื่น มาตราอื่น อีกอย่างน้อย 27-28 มาตรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พระราชอำนาจ กับ พระราชสถานภาพขององค์พระมหากษัตริย์ องค์พระบารมีขององค์พระมหากษัตริย์ ต้องเข้าใจว่า หลักของประชาชนชาวไทยที่ยึดถือกันมาเป็นประเพณีทางการเมือง คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นมิ่งขวัญของประเทศ ฉะนั้นในบทบัญญัติอื่น ๆ อีก 27-28 มาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้แสดงเจตนารมณ์เรื่องนี้เอาไว้ 

ผมยกตัวอย่างเช่น คณะรัฐมนตรีก่อนเข้ารับหน้าที่ต้องถวายสัตย์ ปฏิญาณ ต่อพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษาทั้งหลาย องค์กรอิสระทั้หลาย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน…องค์กรเหล่านี้ คนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคนเหล่านี้ตามคำแนะนำของวุฒิสภา แม้แต่การแต่งตั้งผู้พิพากษา การแต่งตั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ระดับปลัดกระทรวง อธิบดี หรือเทียบเท่า ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะทรงดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งการให้คนเหล่านี้พ้นจากตำแหน่ง อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าเกิดว่าไปยอมให้เขาเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ โดยที่เราเห็นเจตนาของคนบางกลุ่ม บางพวก อยู่แล้วว่าต้องการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ จะมาแก้ในมาตราเหล่านี้ คนไทยรับไม่ได้ บ้านเมืองก็ยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้นเป็นเหตุผลใหญ่ที่ผมไม่เห็นด้วยที่จะไปเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ 

อย่างไรก็ตาม มีคนพยายามบิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ บิดเบือนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ประกาศเรื่องที่จะไป ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอม สิ่งนี้ชัดเจน แต่คนที่เอาประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญมาเป็นประเด็นกล่าวอ้าง ทั้งที่จริงจะเอามาช่วงชิงอำนาจรัฐที่จะเปลี่ยนข้าง เปลี่ยนฝ่าย เป็นเรื่องของการต่อสู้ที่อยู่ในระบบ

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ส่วนที่ 2 การต่อสู้นอกระบบ ผมเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตั้งแต่ปี 2551-2554 ได้ติดตามกลุ่มบุคคล คณะบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเขามีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกับอุดมการณ์ทางการเมืองของคนส่วนใหญ่ และเขามีความพียรพยายามมาก 

ในยุคนั้น…เขาใช้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม และสถานีวิทยุชุมชนทั้งหลาย เป็นเครื่องมือ มาถึงยุคนี้เขาพัฒนาไปขั้นหนึ่ง เข้าสู่ดิจิตอล เทคโนโลยี เขาใช้การต่อสู้ในโลกของไซเบอร์ ได้ใช้เวลาหลายปี รวบรวมคนที่มีความชำนาญด้านนี้ มาคิดประดิษฐ์ ถ้อยคำ ในเนื้อหาต่าง ๆ และป้อนเข้าสู่โลกไซเบอร์ ดำเนินวิธีการหลายอย่างที่จะให้มีผู้ติดตามที่เป็นเยาวชน เช่น แจกซิมฟรีบ้าง หรือให้เงินตอบแทนเวลามีการโพสต์ หรือแชร์ ซึ่งทำมาหลายปีติดต่อกัน วันนี้เลยกลายเป็นมีกลุ่ม คนกลุ่มใหญ่ยอมเป็นสาวกตามที่เขาได้สอน ได้พยายามชี้นำในโลกไซเบอร์

เราถึงได้เห็นว่า มีคนรุ่นใหม่ที่หลงผิด ตั้งข้อรังเกียจคนรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นผู้ใหญ่ ว่า เป็นคนละเจนเนอเรชั่น เป็นพวกไดโนเสาเต่าล้านปี เป็นพวกอนุรักษ์นิยม เป็นพวกที่หมดยุคแล้ว ไปเชื่อว่าโลกในอนาคตเป็นโลกของคนรุ่นใหม่ เขาต้องกำหนดเอง อันนี้ผมคิดว่าเป็นการต่อสู้ในทางการเมือง แต่สู้แบบนอกระบบ เป้าหมายเหมือนกัน…มุ่งหวังที่จะโค่นอำนาจเก่า เข้าไปยึดครองอำนาจโดยฝ่ายตน เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันพูด ช่วยกันนำความจริงมาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องของรัฐธรรมนูญ เรื่องของข้อเท็จจริง ที่มีการต่อสู้กันนอกระบบ  

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในระบบ หรือต่อสู้นอกระบบ ผมเชื่อมั่นในเอกภาพทางความคิดในความยึดมั่นของคนไทย ที่ยึดมั่นในประเพณีการปกครองในวัฒนธรรมของประเทศไทย คนไทย ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ต้องเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงเป็นมิ่งขวัญของคนไทยเท่านั้น ตรงนี้ผมคิดว่าจะเป็นเรื่องที่จะคุ้มครองป้องกันประเทศได้ในสถานการณ์นี้ 



@@….คิดว่า ม็อบเยาวชน มีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นกลุ่มการเมือง หรือจัดตั้งเพราะความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ที่ต้องการเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการหรือไม่?

A : ผมเคยมีประสบการณ์ในฐานะที่เป็นผู้นำประชาชนชุมนุม เดินขบวน ประท้วงรัฐบาลขณะนั้น เราชุมนุมประท้วงรัฐบาล แต่เราทำอย่างมีเหตุผล เพราะรัฐบาลขณะนั้น เป็นรัฐบาลที่เผด็จการในคราบของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ คนพวกนี้รวบรวม ส.ส.ในสภาได้เป็นเสียงข้างมาก เด็ดขาด แล้วใช้อำนาจของผู้แทนราษฎรเหล่านั้นเกินขอบเขต ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ทางการปกครอง คือใช้อำนาจนั้นโดยไม่เคารพหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของพวกตัวเองบ้าง จะไปออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้รัฐบาลได้มีเงิน 2 ล้านล้านบาทมาใช้ โดยไม่มีการตรวจสอบ จะไปออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้รัฐบาลของตัวเองทำสัญญากับต่างชาติได้ โดยไม่ให้ผู้แทนราษฎรได้ตรวจสอบ ไม่ให้ประชาชนได้รู้ก่อน

ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายก็คือ การพยายามที่จะตรากฎหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับอาชญากรที่เผาบ้าน เผาเมือง ฆ่าตำรวจ ฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน และนักการเมืองที่กระทำการทุจริต คอรัปชั่น จนกระทั่งศาลพิพากษาจำคุกจนหนีไปต่างประเทศ เขาพยายามจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้ ถึงขนาดโอหังออกมาประกาศว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับสุดซอย คือ จะทำถึงที่สุด เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป 

รวมทั้งการที่รัฐบาลหลงลำพองในการสนับสนุนเสียงข้างมาก และมั่นใจว่าจะไม่มีองค์กรไหนสามารถตรวจสอบตัวเองได้ กระทำการทุจริต คอรัปชั่นขนานใหญ่ ที่คนไทยรู้กันทั่วไปคือ การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว อย่างนี้เป็นต้น นั่นเป็นเหตุผลที่ประชาชนทนไม่ได้ ต้องลุกฮือขึ้นมาชุมนุม เดินขบวนต่อต้าน และผมก็ออกมาเป็นหนึ่งในจำนวนแกนนำ 9 คน แต่ถ้าเทียบกับปัจจุบันนี้…ต่างกันมาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นเผด็จการที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง เหมือนที่รัฐบาลเก่าทำ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลที่ทุจริต คอรัปชั่น ไม่เคยมีเรื่องว่าพลเอกประยุทธ์ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด แบบที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเรื่องของจำนำข้าว ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีเรื่องแบบนั้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่า การที่ออกมาชุมนุมประท้วง ของคนกลุ่มหนึ่งในขณะนี้ จะเรียกชื่ออะไรก็ตาม เพราะเขาเปลี่ยนชื่อทุกวันก็แล้วแต่ ไม่ได้มีเจตนาตรงไป ตรงมา

ครั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมมาด้วยเจตนาพิเศษ หวังที่จะสร้างสถานการณ์บ้านเมืองให้นำไปสู่จุดที่เขาต้องการ ผมเรียนเลยว่า คนเหล่านี้พยายาททำทุกอย่างเพื่อยั่วยุ เพื่อที่จะท้าทาย คนไม่เห็นตรงกับตัวเอง ต้องการให้เกิดการปะทะ ต้องการให้เกิดสงครามการเมือง ความคาดหวังของคนพวกนี้ ถ้าหากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เขาจะนำต่างชาติเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เหมือนที่เราเห็นอยู่ในหลายประเทศ เป็นการสูญเสียเอกราชของชาติ เป็นเรื่องที่คนไทยยอมไม่ได้

ผมคิดว่าการดำเนินการอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นไปโดยธรรมชาติ ต่างคนต่างออกมาอย่างที่เขาโฆษณา ชวนเชื่อ แต่ผมเห็นว่า เป็นขบวนการ เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างมีระบบ ที่น่าละอายก็คือ คนที่เป็นผู้นำ คนที่เป็นหัวหน้าองค์กร ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแล้วบงการ สั่งการ โดยผ่านทางดิจิตอล เทคโนโลยี ทางโทรศัพท์ ทางไซเบอร์ ยุยงเยาวชนให้มาเป็นกองหน้า เพราะฉะนั้นที่มีชื่อคนนั้นคนนี้ หรือเด็กคนนั้นคนนี้ อันนั้นไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่หัวหน้า 

ประสบการณ์ที่ผมเคยจัดการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาเดินขบวน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย ต้องมีคนออกเงิน ครั้นที่ผมจัดมีพี่น้องประชาชนช่วยกันออกเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าเวที ค่าเครื่องเสียง ค่าอาหาร ค่าจัดการทุกอย่าง ยิ่งคนจำนวนมาก ย่อมใช้จ่ายมาก ไม่มีที่ว่าเด็กเรี่ยไรกันเองมาจัดได้ อย่างนี้ไม่ใช่ของจริง ผมเชื่อว่ามีคนบงการ มีคณะบุคคลที่เป็นผู้บริหารม็อบนี้ แล้วซ่อนอยู่ข้างหลัง ใช้ให้คนที่มีความคิดบริสุทธิ์ออกมาข้างนอก อันนี้เรียกว่าเป็นม็อบที่อันตรายต่อสังคม ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม 

@@…เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยการเปิดประชุมสภาเพื่อให้หาทางออก หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียงการซื้อเวลาหรือไม่?

A : ผมติดตามการตัดสินใจของรัฐบาล ผมสังเกตเห็นว่าในระยะแรก ๆ รัฐบาลอดทนที่มีคนออกมาชุมนุม โจมตีรัฐบาล และรัฐบาลไม่ได้ดำเนินการอะไรที่เป็นการระงับ ยับยั้งหรือตัดสิทธิของผู้ชุมนุม จะสังเกตเห็นว่ารัฐบาลพยายามประกาศเตือน ขอร้องว่าให้ชุมนุมโดยสงบ อยู่ในกรอบของกฎหมาย สั่งการเจ้าหน้าที่ไม่ให้กระทำการที่รุนแรงกับผู้ชุมนุม จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ออกมา ไม่พกไม้กระบอง ออกมามามือเปล่า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมล้อมขบวนรถพระที่นั่ง ขบวนเสด็จ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในประเทศไทย แต่คราวนี้กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งใจที่จะยั่วยุ ฝ่ายที่จงรักภักดี ประชาชนที่จงรักภักดี เพื่อที่จะให้คนเหล่านั้นออกมาเผชิญหน้า ผมมองว่าพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่ยั่วยุ รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น 

ผมติดตามสถานการณ์ในวันนั้น ผมและพี่น้องประชาชนไปรับเสด็จ แต่เมื่อรับเสด็จแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน เราเพิ่งมารู้ภายหลังว่าได้มีการกระทำที่มิบังควร ที่ปิดกั้นขบวนเสด็จ เราเสียใจมาก และประชาชนจำนวนหนึ่งก็ตำหนิรัฐบาลว่า ทำไมไม่ทำอะไร เพราะฉะนั้นในการชุมนุมวันต่อมา 15 ต.ค.รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตราการในการสลายการชุมนุม เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้ความพยายามซึ่งแสดงออกความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันขยายตัวออกไป ผมมองว่ารัฐบาลได้ใช้มาตรการที่เหมาะสม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อที่ใช้อำนาจตามกฎหมายการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาดำเนินการในสิ่งเหล่านี้ได้ ผมว่ารัฐบาลตัดสินได้เหมาะสม 

เมื่อประชาชนเรียกร้องควรมีการพูดคุย เจรจา นายกรัฐมนตรีก็ทำตามที่ประธานรัฐสภาเสนอคือ เห็นชอบให้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อนำปัญหาต่าง ๆ ไปพูดคุยรัฐสภา ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยชอบด้วยเหตุผลแล้ว และเพื่อให้บรรยากาศในการพูดคุยในรัฐสภาเป็นไปด้วยดี นายกรัฐมนตรีก็ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ผมคิดว่าเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่ละมุมละม่อน และสมควรที่จะสนับสนุน จะเรียกว่ารัฐบาลถอยก้าวหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นปัญหา

รัฐบาลพยายามที่จะรักษาสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อย ผมคิดว่า ตัวแทนของประชาชนที่อยู่ในรัฐสภา ควรจะได้ไประดมความคิด ความเห็น เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาประเทศกันตามวิถีทางระบบของระบอบประชาธิปไตย กลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน เขามีตัวแทนของเขาอยู่ในรัฐสภา มีพรรคการเมืองของเขา มีคนของเขาอยู่ในนั้น ก็ใช้คนเหล่านั้น ถ้าเห็นกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจริง ๆ ก็สามารถทำได้โดยวิธีนั้

@@….ในฐานะอดีตผู้นำ กปปส.คิดว่าจะนำมวลชนออกมาปกป้องสถาบันที่กำลังถูกจาบจ้วงหรือไม่?

A : ผมคิดเห็นเหมือนพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศว่า เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องพิทักษ์ รักษา ระบอบประชาธิปไตย และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิ่งแรกที่พวกเราต้องแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี เราไม่ต้องการให้คนใด กลุ่มใด มาละเมิด จาบจ้วง ล่วงเกินสถาบัน พระมหากษัตริย์ อันนี้ยอมไม่ได้ แต่เรากระทำการโดยระมัดระวัง เราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีโดยไม่คิดที่จะไปตบตี เผชิญหน้ากับใครทั้งสิ้น อันนี้เป็นสิทธิของเราใครจะมายับยั้งเราไม่ได้ แต่การที่ประชาชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาเพื่อแสดงความจงรักภักดีปกป้องสถาบัน เราทำตามหน้าที่ของประชาชนโดยชอบและจะทำต่อไป

ถ้าหากอีกฝ่ายยังไม่หยุด เราก็จะดำเนินการต่อไป ประชาชนคนไทยทุกคนคิดอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีผมเป็นคนนำ หรือไม่เป็นคนนำ แต่ผมในฐานะที่เคยทำงานร่วมกับมวลมหาประชาชนมาก่อน ผมจะแสดงความคิดความเห็น จุดยืนของผม และ กระทำการที่เป็นการทำหน้าที่ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ ตามจังหวะ ตามโอกาส ตามเวลาที่สมควรด้วยความระมัดระวัง ส่วนเรื่องของรัฐบาลเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะต้องดูแลไปตามกฎหมาย เราแยกกันคนละเรื่อง แต่ถ้าใครคิดจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างนี้ประชาชนคนไทยคงไม่ยอม

@@….มองอย่างไรกรณีม็อบไม่มีแกนนำ มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร โดยเฉพาะกรณีหากเกิดเหตุร้าย ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบหรือเปล่า?

A : ผมยืนยันว่าการชุมนุมมีแกนนำ มีผู้บริหาร และมีการดำเนินการเป็นขบวนการ เป็นองค์กร แต่ว่าไม่แสดงตัว จริง ๆ ทำแบบนี้ผิดกฎหมาย ถ้าไปดูตามกฎหมายแล้วเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เหมือนเป็นอั้งยี่ เหมือนเป็นซ่องโจร เป็นองค์กรที่ผิดกฎหมาย คนเหล่านี้ไม่แสดงตัว แต่บงการอยู่ข้างหลัง วางแผนอยู่ข้างหลัง กำหนดตารางเวลา ขั้นตอนการปฏิบัติของมวลชนที่อยู่ในอาณัติ อย่างเป็นระบบ เพราะฉะนั้นคิดว่าเป็นอันตรายและเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ที่จะต้องสืบค้น สอบสวนหาตัวบุคคลมาดำเนินคดีให้ได้.



- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img