วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกEXCLUSIVE“กทท.”กางแผนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จ่อเซ็นกิจการร่วมค้าGPCปลายพ.ย.64
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“กทท.”กางแผนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จ่อเซ็นกิจการร่วมค้าGPCปลายพ.ย.64

โครงการลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ทลฉ.เฟส 3) นั้นเริ่มดำเนินการประกวดราคามาตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2562 แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีการอนุมัติผลการคัดเลือกโครงการฯ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564

หลังจากสำนักงานอัยการสูงสุดเห็นชอบร่างสัญญาร่วมทุนโครงการฯ กับกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เรียบร้อยแล้ว และผ่านการพิจารณาอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)

อย่างไรก็ตามโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 นั้นมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็น กทท. ลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท และเอกชนลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ในส่วนของเอกชนแบ่งเป็นเงินลงทุนในท่าเทียบเรือ F ประมาณ 30,000 ล้านบาท ท่าเทียบเรือ E ประมาณ 25,000 ล้านบาทและท่าเทียบเรือ E0 ประมาณ 5,000 ล้านบาท

โดยโครงการในระยะแรกที่กิจการร่วมค้า GPC ชนะการประกวดราคานั้นเป็นการลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ F1 – F2 ประมาณ 30,000 ล้านบาท ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี ซึ่งจะส่งผลให้รัฐได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาราว 87,471 ล้านบาท โดยเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) จะอยู่ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อที.อี.ยู. และกิจการร่วมค้า GPC จะต้องสมทบเงินเข้ากองทุนเยียวยาความเสียหายฯ ในอัตรา 5,000 บาท/ไร่/ปี นับตั้งแต่เริ่มประกอบการ

“จ่อลงนาม GPC ปลายพ.ย.นี้”

โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เรือโท ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการ สายบริหารการเงินและกลยุทธ์องค์กร รักษาการแทนผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ระบุว่า คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญากับกิจการร่วมค้า GPC ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นเดือนธันวาคม 2564 โดยกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) และบริษัท ไชนาร์ฮาเบอร์ เอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 40% 30% และ 30% ตามลำดับ

สำหรับงานด้านโครงสร้างพื้นฐานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่ กทท.จะดำเนินการเอง นั้นแบ่งออกเป็น 4 งาน ได้แก่ 1. งานก่อสร้างทางทะเล เป็นงานขุดลอกถมทะเล สร้างเขื่อนกันคลื่น มีกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี (CNNC) ประกอบด้วย บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 21,320 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินงาน 2. งานก่อสร้างถนน สะพาน ระบบสาธารณูปโภค และท่าเทียบเรือชายฝั่ง กรอบวงเงินลงทุนราว 7,500 ล้านบาทคาดว่าจะเริ่มประกวดราคาได้ในเร็วๆ นี้ 3. งานก่อสร้างระบบรถไฟ และ 4. งานจัดหา ประกอบและติดตั้งเครื่องจักรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ทั้งนี้ขั้นตอนการถมทะเล และการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของฝั่งท่าเทียบเรือ F จะต้องส่งมอบให้กิจการร่วมค้า GPC ในปี 2566 เพื่อให้ดำเนินการก่อสร้างท่าเรือ อาคารสำนักงาน และติดตั้งเครื่องจักรต่อไป โดยกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปลายปี 2568

โครงการท่าเรือแหลมฉบังทั้งระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 นั้นตลาดส่งออก และนำเข้าส่วนใหญ่เป็นประเทศจีน รองลงมาเป็นญี่ปุ่น และประเทศในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ก็เป็นอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ซึ่งเมื่อดำเนินการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แล้วเสร็จจะทำให้มีความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้อีก 7 ล้านที.อี.ยู. แบ่งเป็น ท่าเทียบเรือ F ของกิจการร่วมค้า GPC จะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ 4 ล้าน ที.อี.ยู.  และท่าเทียบเรือ E สามารถรองรับตู้สินค้าได้ราว 3 ล้าน ที.อี.ยู. ซึ่งจะส่งผลให้ขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าของท่าเรือแหลมฉบังรวมกันทั้ง 3 ระยะเป็น 18 ล้าน ที.อี.ยู. จากปัจจุบันระยะที่ 1 ระยะที่ 2 มีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าอยู่ที่ 11 ล้าน ที.อี.ยู.

อย่างไรก็ตามมเมื่อการดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือ F แล้วเสร็จเมื่อความสามารถในการรองรับตู้สินค้าของท่าเทียบเรือ F ใกล้เต็มขีดความสามารถแล้วนั้น กทท. จึงจะดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ E ต่อไป ซึ่งคาดว่า ประมาณ 10 ปีข้างหน้า หรือ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2578 โดยเปิดประกวดราคาหาผู้ประกอบการมาลงทุนพัฒนาและสัมปทานในระยะ 35 ปี

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img