วันเสาร์, เมษายน 20, 2024
หน้าแรกEXCLUSIVEESSO เชื่อระยะยาวปี 2040 ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโต แม้ EV ดิสรัปชั่น
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ESSO เชื่อระยะยาวปี 2040 ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโต แม้ EV ดิสรัปชั่น

มาตรการการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ.2050 และการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ.2065

ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแบรนด์ไทยต่างก็ได้เริ่มลงทุนขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (สถานีชาร์จรถ EV) ในสถานีบริการน้ำมัน ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแบรนด์ต่างชาติอย่าง ESSO ยังไม่มีแผนขยายแท่นชาร์จ EV ในตอนนี้

ดร.อดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสโซ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO และผู้จัดการใหญ่ บริษัทในเครือเอ็ดซอนโมบิลในประเทศไทย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ากระแสโลกาภิวัตน์เริ่มให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องดูว่าประเทศไทยจะไปได้เร็วขนาดไหน ซึ่งการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้น ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะมารองรับอย่างสถานีชาร์จยังมีจำกัด และยังต้องอาศัยระยะเวลากว่าจะมีสถานีชาร์จครอบคลุมในการเดินทางที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง 

ทั้งนี้ ESSO เชื่อว่าในระยะยาวปี 2035-2040 ปริมาณต้องการน้ำมันยังเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง อาจจะมีจุดหนึ่งที่มันจะเริ่มลดลง แต่ก็คิดว่าคงใช้ระยะเวลาอีกหลายปีข้างหน้ารถยนต์ไฟฟ้าถึงจะมีบทบาทมากขึ้น ดังนั้นในระยะยาวความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโตอยู่ เพราะเศรษฐกิจยังอาศัยพลังงานอยู่ พลังงานที่เป็นฟอสซิลยังมีส่วนสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจ ESSO ยังเดินหน้าที่จะขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่น

ดังนั้นแผนการลงทุนในปัจจุบัน ESSO ยังไม่มีแผนที่จะขยายสถานีชาร์รถ EV แม้ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแบรนด์ไทยได้เริ่มขยายการลงทุนกันแล้วก็ตาม เนื่องจากต้องรอดูมาตรการที่ภาครัฐออกมาส่งเสริมว่าจะช่วยผลักดันให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนจากเป้าหมายของภาครัฐที่กำหนด การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสะสม ในปี 2568 อยู่ที่ 1.05 ล้านคัน และปี 2578 จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสะสม 15.58 ล้านคัน และตั้งเป้าให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในปี 2578

“การลงทุนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ EV ของ ESSO คงต้องรอให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเติบโตมากขึ้น และมีปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก่อนถึงจะตัดสินลงทุน อย่างไรก็ตาม ESSO ก็ได้เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีไว้เรียนร้อยแล้วถ้าถึงวันที่จะต้องลงทุนก็พร้อมทันที เพราะไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรที่ซับซ้อน ด้านพื้นที่ตั้งก็มีความพร้อม”

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มีพันธมิตรหลายรายที่ให้ความสนใจอยากร่วมลงทุนกับ ESSO ในการสร้างสถานีชาร์จรถ EV ในสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งการลงทุนสร้างสถานีชาร์จรถ EV ก็ต้องดูว่าหากลงทุนตอนนี้เลยจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ลงทุนไปแล้วก็ไม่ค่อยมีคนไปใช้งาน ผลตอบแทนจากการลงทุนก็ไม่เกิดขึ้น จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนตอนนี้ ทั้งนี้ปัจจุบัน ESSO มีการติดตั้งสถานีชาร์จรถ EV ในสถานีบริการน้ำมันเพียง 5-6 แห่ง เพื่อทำการทดลองระบบ เก็บข้อมูล ศึกษาว่าพฤติกรรมของผู้ใช้เป็นอย่างไร แล้วนำไปพัฒนาต่อยอด

หนุนภาครัฐใช้เทคโนโลยีการจัดเก็บ “คาร์บอนไดออกไซด์”

ดร.อดิศักดิ์ กล่าวว่า ESSO ก็อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีการจัดเก็บ คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) มาใช้กับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน (Road Map) ของรัฐบาลที่จะนำไปสู่เป้าหมาย Carbon neutrality และ Net Zero Emission ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีเทคโนโลยีการจัดเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในเบื้องต้นทาง ESSO ก็ได้เข้าไปหารือกับทางรัฐบาลบ้างแล้ว

ทั้งนี้การไปสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ภายในปี ค.ศ.2050 และ Net Zero Emission ในปี 2065 ของรัฐบาลนั้นจะต้องมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งแผนงานในปัจจุบันของรัฐบาลยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง หลายหน่วยงานของรัฐบาล รวมถึงการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนตรงนี้ช่วยให้มีแผนงานที่ชัดเจน ซึ่งแผนงานต่างๆ ที่นำไปสู่ Net Zero Emission หน่วยงานภาครัฐก็ดำเนินการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนสำคัญในการที่จะลดคาร์บอนไดออกไซด์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img