วันอังคาร, มีนาคม 19, 2024
หน้าแรกEXCLUSIVE'อ.สุรพล'จวกเอ็นจีโอยั่วยุ ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย อ้างได้กลับคืนใจแผ่นดิน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘อ.สุรพล’จวกเอ็นจีโอยั่วยุ ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย อ้างได้กลับคืนใจแผ่นดิน

“ประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี จวกกลุ่มพีมูฟ ยั่วยุ หลอกลวง ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ตกเป็นเหยื่อ อ้างได้กลับคืนใจแผ่นดิน จงใจบิดเบือนคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด เดินหน้าร้องทุกข์ มติป.ป.ท.ให้ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ออกจากราชการ ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ขัดคำสั่งศาล

นายสุรพล นาคนคร ประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ”กวนข่าว กวนคน”ทางคลื่นวิทยุสถานีFM 102.5 MHz กองทัพอากาศ ถึงกรณีปัญหาชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ขอกลับคืนใจแผ่นดิน ว่าตนอยู่ในกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของเพชรบุรี ได้รับรู้ปัญหาทั้งหมดของชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ตนอยู่ในเหตุการณ์ ทั้งก่อนเกิดเหตุและเกิดเหตุ จนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อก่อนตนยังเป็นอนุกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภาสมัยนั้น และเป็นกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ

เมื่อถามถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. มีมติในคดีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี กรมอุทยานแห่งชาติฯ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และพวกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติรวม 6 คน ได้เข้ารื้อถอนเผาทำลายบ้านเรือน ยุ้งฉาง และทรัพย์สินอื่นๆของนายโคอิ หรือปู่คออี้ มีมิ พ่อเฒ่าชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน และของชาวบ้านอีกหลายราย โดยชี้มูลความผิดนายชัยวัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 และมีมติให้ออกจากราชการ

นายสุรพล กล่าวว่าคดีนี้ 9 ปีแล้วถูกรื้อคดีขึ้นมา เป็นข้อสงสัยที่สังคมต้องตรวจสอบ และให้มาดูคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด โดยฟ้องสองคดี คดีแรกนายนอแอะ พร้อมพวก ซึ่งเป็นลูกชายนายคออี้ ฟ้องกรมอุทยานและกระทรวงทรัพยากรฯ และคดีสองนายคออี้ พร้อมพวก ฟ้องกรมอุทยาน และกระทรวงทรัพยากรฯ ทำไมจึงแยกฟ้องสองคดี ทั้งสองคนนี้อยู่บ้านหลังเดียวกัน คดีแรกในคำพิพากษา ศาลปกครองกลาง ไม่เคยบอกว่าเป็นชุมชนดั้งเดิม ซึ่งเข้าสู่ศาลก่อนคดีนายคออี้ และตัดสินคดีนายนอแอะ และปู่คออี้ แล้วโดยอยู่บนสภาพบังคับคดีมาตรา16 ที่ไม่สามารถให้กลับขึ้นไปอยู่บางกลอยบนได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่บุกรุก และไม่มีเอกสารสิทธิของตนเอง แต่ทำไมมีการฟ้องคดีปู่คออี้ ตามหลังมาอีก

การพิพากษา มีคำวินิฉัยแล้ว ทั้งศาลปกครองกลาง สภาพบังคับคดีนายนอแอะ ศาลปกครองสูงสุด สภาพบังคับคดีนายคออี้ มีคำพิพากาษาแล้ว ที่อ้างอุทยานไปเผา แต่นายนอแอะ บุกรุกตามมาตรา16 ไม่ใช่ชุมชนดั้งเดิม ไม่สามารถให้กลับไปอยู่ได้เนื่องจากเป็นพื้นที่บุกรุก ไปละเมิดมาตรา16 ตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และศาปกครองสูงสุด พิพากษา เหมือนกัน นายคออี้ ก็กลับขึ้นไปไม่ได้ ต้องอ่านคำพิพากษาให้ครบ มีบางคนโมเม ในเรื่องการเผาบ้าน ซึ่งศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว

เหตุที่ดำเนินการดังกล่าว ตามมาตรา22 มีคู่มือปฏิบัติ ศาลบอกว่าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม จานชาม อุปกรณ์สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ไม่ใช่อุปกรณ์กระทำความผิด ศาลสั่งให้ชดใช้เยียวยา ค่าสินไหมรายละ 5 พันบาท นายคออี้ นายนอแอะ กับพวก 6 ราย รวมสองคดี จะได้รายละ1หมื่นบาท และศาลปกครองสูงสุด มาเพิ่มให้ รายละ5หมื่นบาท พร้อมกับยืนตามคำพิพากษาต้น ที่เจ้าหน้าที่กระทำชอบแล้วตามมาตรา16 เพียงแต่กระทำไม่ครบขั้นตอน เป็นการละเมิดทางแพ่ง ไม่ใช่อาญา กระทรวง เจ้าหน้าที่อุทยาน ไม่ได้แพ้คดี ดูคำพิพากษาให้ชัด ไม่สามารถให้กลับไปอยู่ได้ ไม่เป็นพื้นที่ตนเองที่มีเอกสารสิทธิ์

นายสุรพล กล่าวว่า คนเพชรบุรี เรียกว่า ชาวกระหร่างจะกลับขึ้นไปทำกินไม่ได้ มีคำพิพากษา ชัดเจน แต่ตอนนี้บิดเบือนคำพิพากษา บิดเบือนพ.ร.บ.อุทยาน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ร.บ.ป่าสงวน คุณปฏิเสธ ไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ คำพิพากษา ศาลปกครอง ก็ไม่ยอมรับ อำนาจของเจ้าหน้าที่ คุณก็ไม่ยอมรับ บอกว่าจะทำไร่หมุนเวียน ก็ไม่มีใครว่าถ้าทำในที่ดินตนเอง แต่ไปเอาป่ามาทำไร่หมุนเวียน ใครจะยอมรับ ป่าเป็นของคนไทยทั้งประเทศ และของคนทั้งโลก ไม่ใช่ของใครคนใด คนหนึ่ง จะทำไร่หมุนเวียนอย่างไร ต้องไปทำในที่มีเอกสารสิทธิ จึงทำประโยชน์ได้

ประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี กล่าวต่อว่า มติป.ป.ท.ออกมากำลังมีการมองกันอยู่ว่าชอบหรือไม่ แม้กระทั้ง ไปหลอกพี่น้องชาวกระหร่าง บ้านผม ว่ากำลังฟ้องชนะคดีได้เงิน2ล้านศษ ขอให้ไปดูดีๆมีข้อความระบุไว้ เมื่อผู้ฟ้องชนะคดี เงินที่ได้ชนะคดี 2ล้านเศษ เอาไปเข้าสภาทนายความ นี่เริ่มต้นก็หลอกลวง อ้างว่าให้ขึ้นไปอยู่ได้ ขณะนี้ยังไปหลอกเขา มีสื่อเลือกข้าง เป็นสื่อของคนกลุ่มไปยั่วยุไปลงข่าวข้างเดียว ผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมเป็นคณะกรรมการ ผมเป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสในพื้นที่ นายกสมาคมสื่อมวลชนในสมัยนั้นด้วย
คุณเป็นใครไปเอาป่ามาทำไร่หมุนเวียน ชาวเพชรบุรี

”วันนี้เขาไปร้องทุกข์กล่าวโทษ มติ ป.ป.ท.บิดเบือนคำพิพากษา หรือไม่ และ ไปออกเอ็มโอยู ได้อย่างไร คนเพชรบุรี ไม่ยอมรับ ในเมื่อมีคณะทำงาน ซึ่งมีหลายองค์กร ทั้งชมรม และเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพชรบุรี และผมเป็นคณะทำงาน แต่งตั้งโดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงทรัพย์ฯตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.พ. แต่แอบเซ็นเอ็มโอยู วันที่3 ก.พ. ผมจะฟ้องศาลปกครอง เอ็มโอยูออกโดยมิชอบด้วยกฏหมาย เพราะกลุ่มพีมูฟ ไปกดดัน ให้ออกเอ็มโอยู นั่งบัญชาการกันตรงนั้น แต่ให้นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปดู พื้นที่ใจแผ่นดิน กลับไม่ไป บอกกลัวความสูง แต่นั่งสายการบินพาณิชย์ได้”นายสุรพล กล่าว

ประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี กล่าวว่าชาวกะเหรี่ยง อพยพออกมาจากบางกลอยบน57ครอบครัว ตนอยู่ในเหตุการณ์ และผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันทุกคนลงมาโดยสมัคร จัดที่ทำกินให้ 7ไร่ต่อครอบครัว มีที่ดินปลูกบ้านให้อีกครอบครัวละ3งาน ลงมาโดยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับขู่เข็น แต่ตอนนี้กำลังเอาไปบิดเบือน บอกว่ารัฐส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าไป นั่นคือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า มีคนบุกรุกให้เขาดูเฉยๆหรือ นายวราวุธ บอกให้หยุดถางป่า แล้วมาคุยกัน นายนอแอะ ขณะนี้ก็เดินไม้ได้ ก็หาบขึ้นเสลี่ยงไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่กระทำการใด จะได้ตกหลุมพรางหรือไม่ ศาลพิพากษาแล้ว นายนอแอะ บุกรุก กลุ่มยุยง ยังเอานายนอแอะ เป็นเครื่องมือ ไปหลอกลวง ว่าขึ้นไปอยู่ใจแผ่นดินแล้ว แต่จริงๆขณะนี้นายนอแอะ อยู่ห้วยสามแพ่ง กำลังหลอกลวงพี่น้องทั้งโลก ใครจะขึ้นบางกลอยบนต้องเดิน 3วัน ถ้าขึ้นใจแผ่นดิน ขนาดกะเหรี่ยงเดินn8-10วัน ถ้าพวกเราเดินกันเป็นเดือน จากสภาพภาพถ่ายทางอากาศบริเวณใจแผ่นดิน เมื่อปี2494 ไม่มีการทำกิน ซึ่งศาลแต่งตั้ง ผู้เชี่ยวชาญมาแปรภาพถ่ายต้องบอกความจริงให้คนเพชรบุรี คนทั้งประเทศ ได้รับรู้เรื่องนี้ให้ดูดีๆมันมีคนวางแผน มีคนเดินเกมหลายชั้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img