วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกHighlightเปลี่ยนความคิด 'ไตวาย' ไม่ได้มาจากการกินเค็ม แต่เกิดจาก...???
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปลี่ยนความคิด ‘ไตวาย’ ไม่ได้มาจากการกินเค็ม แต่เกิดจาก…???

“ผู้อำนวยการสถาบันปุพโพวิทยาแห่งประเทศไทย” เผย “ไตวาย” ไม่ได้เกิดจากกินเค็ม แต่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีเปลวไขมันสะสมลงพุงมากเกินไป จนทำให้ไตทำงานหนักรับไม่ไหว

ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ ผู้อำนวยการสถาบันปุพโพวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวให้ความรู้เรื่อง “ไตวาย ไม่ได้มาจากการกินเค็ม” ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ว่า ไตคนเราเสื่อม ไม่ได้เสื่อมเพราะไปกินเค็ม แต่เสื่อมเพราะมีการสะสมพอกพูนไขมันอยู่ในพุงทำให้ไตเสื่อม ลักษณะหน้าตาของไตที่ดีจะเหมือนมะม่วงอกร่องแพคอยู่ในกล่องมิดชิด โดยไตจะอยู่ใกล้ชิดกับอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย เมื่อร่างกายเริ่มสะสมไขมันจะกลายเป็นพุง เป็นทั้งพุงและหลังพุง ไขมันก็จะเกาะโอบมาก ๆ ไตก็จะฝ่อ ก็ต้องไปฟอกไต 

สมัยก่อนพุงไขมันเปลวมีน้อย ไม่มีไขมันในพุง แต่เมื่อเริ่มสะสมทำให้ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ทำงานไม่สัมพันธ์กันอีกต่อไป เพราะมีชั้นชนวนมาขวาง ไขมันเปลวคือคนต่างด้าวไม่ใช่คนพื้นถิ่น ทำให้อวัยวะไม่สัมพันธ์กัน ทำงานสัมพันธ์กันไม่ได้ ซึ่งสมัยก่อน กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ตับ เป็นเพื่อนบ้านกำแพงชิดกัน แต่เมื่อไขมันสะสมทำให้การทำงานไม่สัมพันธ์กัน เมื่อกินอาหารเข้าไป กระเพาะไม่ย่อยก็ไหลกลับไปเป็นกรดไหลย้อน หรือเมื่อย่อยไม่ทันก็จะค้างและอืด บางทีถ่ายไม่ออก สะสมไปเรื่อย ๆ สุดท้ายตับอ่อนก็พัง เพราะถูกบีบมาก ๆ เมื่อตับอ่อนถูกบีบก็ไปอินซูลินไม่ได้ เมื่อเป็นแบบเป็นโรคเบาหวานตามมา เพราะอินซูลินออกไม่พอ ตับอ่อนถูกอัดอยู่อินซูลินได้น้อยลง และก็อัดไตทำให้ไตทำงานลำบาก กรองเลือดไม่ดี ความดันสูง กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง 

ที่ผ่านมา เราไปเข้าใจว่ากินเค็มแล้วทำให้ไตเสื่อม ความจริงไตไม่เคยเสื่อมความเค็มที่กินเข้าไปร่างกายไม่มีกลไกสะสมโซเดียมในร่างกาย สะสมเท่าที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ มากกว่านั้นก็ทิ้ง การกินเค็มจะทำให้ไม่อยากกินน้ำได้ไมไม่ได้ เพราะเขาทิ้งเกลือโดยการปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะบ่อยก็ขาดน้ำ จึงต้องหาน้ำมาชดเชย ฉะนั้นเกลือกินสะสมไม่ได้ต้องทิ้งภายใน 24 ชั่วโมง แต่ไขสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น ขาหมู พะโล เครื่องใน ปิ้ง ย่าง ชาบู หมูหัน ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง เป็นต้น ของพวกนี้กินเข้าไปแล้วทิ้งไม่ได้ เพราะเป็นพลังงานเข้าไปสะสม สุดท้ายไตก็พัง ไขมันเปลวมากจนไตทำงานหนักจนฝ่อ ไขมันเปลวที่สะสมตรงช่องท้องและหลังมากเกินจนถุงน้ำเข้าไปขังในไต เป็นถุงน้ำไตเป็นบ่อนทำลายเนื้อไต

ดังนั้น เราต้องสอนกันใหม่ว่า การที่เราเป็นโรคไตกันมาก ไม่ใช่เพราะเรากินเค็ม แต่เพราะเรากินไขสัตว์มากเกิน คนไทยมีไม่ถึง 70 ล้านคน มีคนเป็นโรคไตประมาณ 80 ล้านคน คือ 8 คนเป็นไต 1 คน ไตเรื้อรัง และไตเรื้อรังถาวรและไตวายถาวร มี 4 หมื่นคนต่อปี และใน 4 หมื่นคนผ่าตัดเปลี่ยนไตได้แค่ 400 คน อีก 39,600 คน ไม่มีสิทธิผ่าตัดเปลี่ยนไต ทั้งที่ตายบนท้องถนน 2 หมื่นคน มีไต 4 หมื่นลูก ใช้ได้แค่ 400 ลูก และถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องไปฟอกไต ค่าฟอกไตคนละประมาณ 3 แสนบาท ประเทศไทยจ่ายค่าฟอกไตปีละ 12,000 ล้านบาท 

ปกติเนื้อสัตว์พิษเยอะมากเพราะมี Creatinine คือของเสียที่ร่างกายต้องขับทิ้ง ถ้าคนเรากินเนื้อสัตว์มากของเสียก็เยอะ ไตก็ขับไม่ทัน ถ้ากินเนื้อสัตว์มาก Creatinine ก็ขึ้นสูงทันที Creatinine เป็นของเสียที่เกิดจากกล้ามเนื้อ ต่อให้เราไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีCreatinineเพราะเราทำงานทุกวัน กล้ามเนื้อต้องมีการชำรุด เมื่อชำรุดร่างกายก็ไปขับทิ้ง เป็น Creatinine ออกไป เกิดขึ้นจากที่เราทำงานอยู่แล้วกับการที่เราไปเติมทางปากไตก็ขับไม่ทัน สังเกตเวลาที่เรากินแต่เนื้อสัตว์ Creatinine สูงขึ้น ถ้าไตไม่แกร่งพอรับรองว่าไตพัง และถ้าตับทำงานเยอะขึ้นแต่สุดท้ายก็ไปออกที่ไตเหมือนเดิม ช่วงเทศกาลกินเจ ไตจะทำงานสบาย ไม่ใช่เฉพาะไตสบายอย่างเดียว ตับก็สบาย ลำไส้ยิ่งสบายเพราะลำไส้ไม่เกิดการหมักหมม และน้ำดีที่ออกมาก็ไม่ต้องเข้มข้นมากเพราะไม่ได้ย่อยไขสัตว์มาก แต่ถ้ากินเนื้อสัตว์เยอะ จะไปกระตุ้นให้น้ำดีออกมามาก     

ขอบคุณคลิปจาก สถาบันปุพโพวิทยาแห่งประเทศไทย



- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img