วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกHighlight“ชีวิตไร้พุง”สุขภาพดี เสริมลุค ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ชีวิตไร้พุง”สุขภาพดี เสริมลุค ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ

“โรคอ้วน” เป็นโรคอย่างหนึ่ง เป็นโรคเหมือนกับโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเอดส์หรือ โรคอื่น ๆ แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยกลับมองว่าผู้ป่วยโรคอ้วนไม่ได้เป็นโรคและไม่เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี  

พญ.ขวัญนรา  เกตุวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดผ่านกล้อง โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ อธิบายคำจำกัดความ “โรคอ้วน’’ ว่า สภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ สำหรับในคนเอเชียนั้นเราจะถือว่าอ้วน เมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป และถ้าสูงกว่า 30 จะถือว่าเป็นโรคอ้วนอันตราย โดยค่าดัชนีมวลกายหรือบีเอ็มไอ สามารถคํานวณได้จากอินเทอร์เน็ต

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วย โรคอ้วน มากถึงประมาณ 9% ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 6 ล้านคน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากมาเลเซีย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยสาเหตุนั้นมาจากลักษณะการใช้ชีวิตที่มีการขยับตัวน้อย ไม่ค่อยได้ออกกําลังกายและการรับประทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาลและไขมันสูง

สำหรับการรักษาโรคอ้วน ได้แก่ การคุมอาหาร โดยเน้นการทานโปรตีนเป็นหลัก หลีกเลี่ยง แป้ง น้ำตาล น้ำหวาน ของทอดและของมัน การออกกําลังกาย แบบการ์ดมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์หรือการเดินให้เกิน 10,000 ก้าวต่อวัน  การใช้ยาลดน้ำหนัก ภายใต้การดูแลของแพทย์และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

พญ.ขวัญนรา  กล่าวเสริมว่า ผู้ป่วย โรคอ้วน อันตรายนั้น จะมีฮอร์โมน สารเคมีและระบบการควบคุมความหิวอิ่มในร่างกายแตกต่างจากคนน้ำหนักปกติ  ทําให้การลดน้ำหนักด้วยการปรับลักษณะการใช้ชีวิต เช่น การออกกําลังกายและคุมอาหาร มีโอกาสสำเร็จเพียงแค่ 3% เท่านั้น สำเร็จในที่นี้หมายถึง คนที่น้ำหนัก 150 กิโลกรัม จะลดลงเหลือ 75 กิโลกรัมได้ในระยะเวลาหนึ่งปีนั้นทําได้ยากเพราะน้ำหนักเยอะ หัวเข่ามีปัญหาไม่สามารถออกกําลังกายหนัก ๆได้ แค่เดินก็เหนื่อยแล้วและระบบควบคุมความหิวอิ่มของร่างกาย เป็นต้น

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาชัดเจนว่าคนที่เป็นโรคอ้วนอันตรายที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 32.5 ขึ้นไป ร่วมกับมีโรคประจําตัว หรือผู้ที่ไม่มีโรคประจําตัว แต่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 37.5 ขึ้นไป ที่ได้พยายามออกกําลังกายและคุมอาหารแล้ว แต่ว่าน้ำหนักไม่ลดลงหรือลงเพียงเล็กน้อย จะสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลงได้ 50-60%

จากการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วนนั้นเป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารหรือลดการดูดซึมสารอาหาร และยังมีการตัดกระเพาะอาหารส่วนที่คอยสร้างฮอร์โมนหิวออกไปด้วย ทําให้หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อยลง โดยที่ไม่รู้สึกหิวหรือรู้สึกหิวน้อยลง ทําให้น้ำหนักลดลงได้ด้วยการซึ่งการผ่าตัดแบบส่องกล้องจะทำให้แผลเล็กและฟื้นตัวไว

อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดก็ต้องอาศัยนิสัยของผู้ป่วยในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และออกกําลังกายเป็นประจํา เพื่อให้น้ำหนักลดลงได้เป็นอย่างดีจนกลายเป็นน้ำหนักของคนปกติและสุขภาพดี โดยการผ่าตัดจะสามารถรักษาโรคร่วมต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเกาท์ โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นต้น ทําให้หลังการผ่าตัดผู้ป่วยส่วนใหญ่ สามารถหยุดยาโรคประจําตัวหรือลดยาที่รับประทานลงได้ 

สุดท้ายนี้วิธีการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การออกกําลังกายเป็นประจําและการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการลดน้ำหนัก และทําให้มีสุขภาพดีแบบยั่งยืน 

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img