วันเสาร์, เมษายน 20, 2024
หน้าแรกHighlight“โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง”ไม่ใช่โรคติดต่อ รักษาเร็วลดเครียด-ซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง”ไม่ใช่โรคติดต่อ รักษาเร็วลดเครียด-ซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง  หรือ Atopic Dermatitis เป็นด่านปราการแรกในการนำไปสู่โรคภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ จากข้อมูลกว่า 50% พบเกิดอาการร่วมกับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ จาม น้ำมูก คัน คัดจมูก โรคหอบหืด

ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และนายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่อยู่ในระดับที่รุนแรง ไม่น้อยกว่า 5% หรือประมาณ 500,000 ราย จากประชากรที่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งมีอยู่กว่า 10 ล้านคน หรือ 15% ของประชากรไทย แต่กลับมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มากมาย อาทิ เป็นโรคติดต่อกันได้ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอับอาย โดนรังเกียจจากสังคม ส่งผลกระทบต่อจิตใจ การอาบน้ำช่วยบรรเทาอาการคันหรือระคายเคือง หรือกระทั่งการงดเว้นอาหารบางประเภทจะทำให้อาการต่าง ๆ หายขาด รวมทั้งใช้สเตียรอยด์แล้วจะหาย

ในความเป็นจริง โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่เกิดจากปัจจัยหลักสำคัญ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายใน คือ พันธุกรรม หรือมีประวัติครอบครัวเป็นภูมิแพ้หรือภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน และ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สิ่งกระตุ้น เช่น มลพิษต่าง ๆ อาทิ แสงแดด สภาพแวดล้อม รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น

ปัจจัยภายนอกนั้นมีผลมากกว่าปัจจัยภายใน เพราะอาการต่าง ๆ อันเนื่องมาจาก โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง นั้น เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง หรือการอักเสบของผิวหนัง ยิ่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัจจัยกระตุ้นทั้งจากมลภาวะเป็นพิษ ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งล้วนมีผลกระตุ้นทำให้ชั้นผิวหนังถูกทำลาย ส่งผลให้คนไทยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีการคาดการณ์ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรไทย 50% จะเป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ซึ่งกว่า 50% มักพบว่าเป็นร่วมกันทั้งสองโรค

ทั้งนี้วิธีการสังเกตอาการเบื้องต้นที่ควรมาพบแพทย์ คือ “รบกวน” ในกรณีที่มีอาการคันจนรบกวนการนอน รบกวนการใช้ชีวิต และ “เรื้อรัง” มีอาการคันหรือเป็นผื่นที่เป็นเรื้อรัง เกิน 6 เดือน มีอาการหลายบริเวณ เกิน 2 ตำแหน่งขึ้นไป มีการกลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ อีกหนึ่งจุดสังเกตคือ มีอาการเห็นเด่นชัดบริเวณใบหน้า

ศ.ดร.พญ.อรพรรณ กล่าวถึงวิธีการรักษาภูมิแพ้ ต้องเริ่มจากการรักษาที่เกราะป้องกันตัวเราก่อน คือผิวหนัง ผิวหนังมีพื้นที่ผิวมากที่สุดในร่างกาย เพราะฉะนั้นผิวหนังจึงเสมือนปราการด่านแรก หากถูกทำลายก็ทำให้อ่อนแอ ส่งผลให้เกิดการแพ้อื่น ๆ ได้ เราสามารถแพ้อาหารทางผิวหนังได้ เช่น แพ้ถั่ว โดยไม่จำเป็นต้องกินก็แพ้ได้ด้วยการสัมผัสบ่อย ๆ

สิ่งที่น่าวิตก คือ คนไทยประมาณ 5% ที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ในระดับที่รุนแรงกลับถูกมองข้าม เพราะคิดว่าโรคนี้ไม่ได้ทำให้เสียชีวิต แต่ทว่าโรคนี้ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการคันตลอด นอนไม่ได้ ติดเชื้อง่าย ไม่เพียงแค่ผลกระทบทางร่างกาย ความเข้าใจผิด ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สูญเสียความมั่นใจ อาย เกิดความเครียดสะสมและก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่คิดฆ่าตัวตาย

ศ.ดร.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า ในปัจจุบันยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยากลุ่มนี้ได้ เนื่องจากยากลุ่มชีววัตถุยังไม่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และยังไม่มีระบบสำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาของยากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นยาที่มีราคาค่อนข้างสูง และเป็นนวัตกรรมใหม่หรือที่เรียกว่าการรักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งเป็นการรักษาตรงจุดช่วยลดการอักเสบเฉพาะเซลล์ที่บกพร่อง และทำให้โรคสงบ ช่วยลดการเห่อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถมีเวลาฟื้นฟูผิว อาบน้ำ ทาครีมดูแล

โดยหลักการการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คือ ต้องให้โรคสงบก่อน และรีบฟื้นฟูผิว รวมถึงต้องเลี่ยงไม่ให้เจอปัจจัยกระตุ้น อีกทั้งต้องปรับการใช้ชีวิตให้สมดุลแบบองค์รวม หรือ 4E ประกอบด้วย 1.Environment-สภาพแวดล้อม หลีกเลี่ยงพวกไรฝุ่น หรือมลภาวะเป็นพิษหรือตัวกระตุ้นทั้งในบ้านและนอกบ้าน 2.Emotion-พยายามไม่เครียด เพราะมีผลทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิแพ้กำเริบ 3.Exercise-การออกกำลังกาย จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ก็ต้องมีลักษณะพิเศษคือควรอยู่ในห้องแอร์ ออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ร้อน ไม่ให้เหงื่อออก หรือหากว่ายน้ำ ก็ต้องเป็นระบบน้ำเกลือ ควรหลีกเลี่ยงคลอรีน เป็นต้น และ 4.Eating-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรกินผักผลไม้ในปริมาณที่สมดุลกับหมวดหมู่อื่นๆ และเสริมวิตามิน D เพื่อช่วยป้องกันเรื่องภูมิแพ้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img