นายกฯ ปาฐกถาพิเศษงาน TCAC ยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประธานในพิธีเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference : TCAC) พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ ในวันนี้ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่างๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่างๆ อย่างจริงจัง โดยย้ำนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่างๆ โดยครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ 1.การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 2.การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ3.สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในทางเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ BCG Economy เป็นกลไกหลักสร้างความสมดุลของไทย ทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้นำมาตรการการเงินสีเขียว มาผลักดันการลงทุนในนวัตกรรมและธุรกิจสีเขียว นอกจากนี้นโยบาย BCG Economy ที่จะช่วยตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรชีวภาพ นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันขับเคลื่อนการดำเนินงานในทุกมิติทั้งระบบให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนแม่บท และแผนขับเคลื่อนในแต่ละสาขา รวมถึงนำร่องขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ทั้งระดับจังหวัดและท้องถิ่น โดยมุ่งใช้จุดแข็งจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น”นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ให้ได้ ไปสู่ผลลัพธ์ที่แท้จริง คือ ความมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน และขอชื่นชมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้จัดการประชุม TCAC ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเสริมสร้างพลังระหว่างภาคีเครือข่ายทั้งประเทศ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสมดุลของไทยและของโลกต่อไป