วันศุกร์, เมษายน 26, 2024
หน้าแรกNEWS“พิชัย”แนะ“บิ๊กป้อม”เตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกจะถดถอย ชี้สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยสูง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พิชัย”แนะ“บิ๊กป้อม”เตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกจะถดถอย ชี้สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยสูง

“พิชัย” เตือน “ประวิตร” เตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกจะถดถอย ชี้สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยสูงอีกนาน แนะเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยรองรับอนาคต ฟาดอย่าขู่เรื่องปฏิวัติอีก ด้าน “ศรัณย์” เหน็บผู้นำไทยยังไร้ทิศทาง

วันที่ 27 ก.ย.65 ที่พรรคเพื่อไทย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ แถลงว่า ขอแสดงความยินดีกับนายเศกสิทธ์ ไวนิยมพงศ์ ว่าที่นายก อบจ. ร้อยเอ็ด คนใหม่ที่ชนะแบบแลนสไลด์กว่า 3 แสนคะแนน และ เป็นแลนสไลด์ครั้งที่ 2 ติดต่อกันจากการเลือกตั้ง อบจ. กาฬสินธุ์ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งถึงการเลือกตั้งใหญ่อย่างแน่นอน ต่อมาเป็นเรื่องราคาน้ำมันโลกลดลงมาค่อนข้างจะมาก ใกล้กับราคาก่อนจะเกิดสงครามรัสเซียยูเครนแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาลดราคาน้ำมันดีเซลลงมาบ้างได้แล้ว ในขณะที่รัฐบาลเริ่มแก้ไขหนี้ตามที่พรรคเพื่อไทยเสนอซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและต้องทำให้เร็ว และประเทศมาเลเซียกลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงแล้ว ในขณะที่ไทยอาจจะต้องรออีก 20 ปี นี่คือผลเสียของการปฏิวัติและการมีผู้นำที่ขาดความรู้ความสามารถ ขนาดยังดีใจกันการแจกบัตรคนจนจำนวนมากอยู่เลย ทั้งๆที่เป็นความล้มเหลว ประเทศจึงพัฒนาได้ต่างกัน ดังนั้นจึงหวังว่าวันที่ 30 กันยายนนี้ ที่จะมีคำตัดสิน 8 ปีของพลเอกประยุทธ์ จะได้ทราบกันว่าทิศทางประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป

นายพิชัย กล่าวว่า ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งละ 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ 3.00 % ถึง 3.25% และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปอีก จากการประกาศของนายจาโรม เพาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐที่ต้องการจะหยุดเงินเฟ้อของสหรัฐให้ได้ และจะพยายามจะทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐลงมาอยู่ที่ 2% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 8.3% เมื่อเดือนสิงหาคม โดยคาดกันว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะขึ้นไปถึง 4.25% -4.5% ภายในสิ้นปีนี้ และน่าจะสูงขึ้นอีกในปีหน้า และ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นระยะเวลานาน ไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ โดยในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงทั้งปีอย่างแน่นอน ทั้งนี้แนวทางของสหรัฐที่จะหยุดยั้งเงินเฟ้อให้ได้ โดยจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนกว่าจะหยุดเงินเฟ้อได้ เนื่องจากสหรัฐเห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าปล่อยให้เงินเฟ้อพุ่งจนหยุดไม่ได้ สุดท้ายธนาคารสหรัฐสหรัฐก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อหยุดเงินเฟ้ออยู่ดี อีกทั้งเวลาสินค้าและบริการขึ้นราคาแล้ว ราคาจะไม่ค่อยปรับลงมาอีก แม้ว่าเงินเฟ้อจะหมดไปแล้ว ดังนั้นสหรัฐจึงจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยตอนนี้ การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของสหรัฐจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู้ภาวะถดถอยได้ นางเจเน็ต เยลเลน รมว. คลังสหรัฐยังออกมายอมรับ และจะส่งผลให้ประเทศอื่นๆพลอยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยไปด้วย โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่เศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้วจากสงครามรัสเซียยูเครน ในขณะที่ประเทศจีนการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะขยายได้เพียงประมาณ 5% เท่านั้น

นายพิชัย กล่าวต่อว่า เมื่อมาดูผลกระทบต่อประเทศไทย ปรากฏว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง พลเอกประวิตรไม่เข้าใจออกมาสั่งให้ค่าเงินบาทกลับไปอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลล่าร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะการกำหนดค่าอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยขึ้นกับธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทั้งนี้สาเหตุที่ค่าเงินบาทอ่อนมาจาก 3 สาเหตุหลักคือ 1) อัตราดอกเบี้ยของไทยที่ห่างกับดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกามาก ปัจจุบันต่างกันถึง 2.5% 2) เงินทุนไหลออกซึ่งทุนสำรองเงินตราตต่างประเทศของไทยลดลงค่อนข้างมาก ตั้งแต่ต้นปีลดลงประมาณ 40,000 ล้านเหรียญแล้ว 3) ดุลการค้าขาดดุล แม้ส่งออกจะมากขึ้น แต่นำเข้าสูงกว่า ในเดือนสิงหาคม การส่งออกไทยขยายตัวได้ 7.5% แต่ ขาดดุลการค้าถึง 4,215.4 ล้านเหรียญ โดยไทยขาดดุลการค้าตั้งแต่ต้นปีแล้วประมาณ 14,131.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วย 3 เหตุผลนี้จึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนและจะอ่อนลงได้อีก โดยหลายสำนักคาดกันว่าจะถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ในอีกไม่นานนี้ ทั้งนี้ในภาวะปกติค่าเงินบาทที่อ่อนจะเป็นประโยชน์ต่อความสามารถแข่งขันของไทย แต่ ในภาวะปัจจุบันที่อัตราเงินเฟ้อสูง 7.86% เมื่อเดือนสิงหาคม ค่าเงินที่อ่อนอาจทำให้เงินเฟ้อยิ่งสูงขึ้นได้ ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับเหมาะสมโดยพิจารณาทุกผลกระทบ

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้ย่ำแย่ยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี การเริ่มปรับโครงสร้างหนี้เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งพรรคเพื่อไทยเรีนกร้องมาตลอด และอยากให้ทำให้เสร็จโดยเร็ว ก่อนดอกเบี้ยจะขึ้นอีกมาก ซึ่งไทยคงหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยวันที่ 28 กันยายนนี้ กนง. จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยมีความเห็นหลากหลาย บางคนบอกให้ขึ้นมากๆ เพื่อป้องกันบาทอ่อนลงเร็ว และ ป้องกันเงินทุนไหลออก บางคนก็บอกก็บอกให้ค่อยๆขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยเปราะบางมาก ทั้งนี้ กนง. คงต้องพิจารณารอบด้านก่อนตัดสินใจ โดยหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้และมั่นคงในภาวะที่ผันผวนนี้

“ก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย รัฐบาลควรจะต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เร่งหารายได้ ลดรายจ่าย และ ขยายโอกาส ตามแนวทางที่พรรคเพื่อไทยเสนอไว้ เพิ่มประสิทธิภาพของประเทศในทุกด้าน ปัจจุบันรัฐบาลยังคิดได้แค่การจะขึ้นภาษีแวตอยู่เลย ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนมากขึ้น การที่คนในรัฐบาลยังพูดถึงว่าหากวันที่ 30 กันยายน ผลออกมามีคนประท้วงกันมาก อาจจะไม่มีการเลือกตั้ง เป็นการแสดงความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์ และ ถ่วงความเจริญประเทศอย่างมาก ไม่สมควรหลุดออกมาจากรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยเลย และ ไม่ควรพูดแบบนั้นอีก”นายพิชัย กล่าว

ด้านนายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่หลายฝ่ายกำลังคาดว่าจะเกิดภาวะถดถอยไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นหลายประเทศจึงต้องหาวิธีการและทิศทางในการรับกับภาวะดังกล่าว บางประเทศเลือกที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ บางประเทศพยายามดึงเงินและนักลงทุนต่างชาติเข้ามา กระตุ้นเศรษฐกิจ หรืออย่างหลายๆประเทศที่มุ่งใช้ภาคการท่องเที่ยวในการสร้างรายได้ ก็มีนโยบายและมาตราการส่งเสริมเพื่อให้สำริตผลตามเป้าหมาย และในหลายๆประเทศที่ไม่มีแผนรองรับที่ดีพอ หรือมีปัญหาต่างๆมากมายภายในประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2565 อย่างน้อย 5 ประเทศ เกิดภาวะที่เรียกได้ว่า ประเทศล้มละลาย ล่าสุด IMF ได้มีการปล่อยกู้เงินมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่ประเทศไทย ผู้นำขณะนี้กำลังทำงานไปแบบวันต่อวัน โดยไม่มีทิศทางและแผนการรองรับกับภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ตรงกันข้ามกลับออกมาให้ข้อมูล ให้ข่าวจนทำให้เกิดความสับสน ตอกย้ำ ซ้ำเติมให้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลตอนนี้ไม่มีผู้นำในเรื่องเศรษฐกิจ จึงไม่มีทางที่ประชาชนจะสามารถคาดหวังอะไรได้เลย บางวันท่านก็ออกมาให้ข่าวว่า ต้องการตรึงราคาดอลลาห์ไม่เกิน 35 บาท จนทำให้ทั้งประชาชนและนักวิชาการต่างออกมาให้ข้อมูลโต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าว จะยิ่งทำให้ประเทศมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจสูงขึ้น อีกวันก็ออกมายืดอกดีใจที่บัตรคนจนมียอดผู้ลงทะเบียนเพิ่มขึ้น รัฐบาลกำลังดีใจที่มีประชาชนมากขึ้น ที่มีรายได้ไม่ถึง 8300 บาทต่อเดือน ปัญหาความไร้ทิศทางของรัฐบาล มิได้มีเพียงด้านเศรษฐกิจ แต่มีอยู่ในทุกภาคส่วนของฝ่ายบริหาร ยกตัวอย่างเช่น กรณีรัฐมนตรี DES ที่มีข้อพิพาดกับ กลต เกี่ยวกับกรณีการหลองลวงลงทุนที่กำลังเป็นที่สนใจของสื่อ ทั้งๆที่หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบข่าวปลอม ข้อมูลปลอมต่างๆ ก็อยู่ภายใต้กระทรวง DES เอง แต่กลับไม่สามารถทอะไรได้ หรือปัญหาเรื่อง คดีออนไลน์ เวปผิดกฏหมายต่างๆ ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับที่น่าพอใจ และยังไม่มีบทบาทในการส่งเสริมธุรกิจดิจิทัลในไทย ตามหน้าที่ของตน
 
“สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ตอกย้ำว่า ประเทศไทยกำลังจะต้องเผชิญกับภาวะที่ทั่วโลกเกิดเศรษฐกิจถดถอย หลายประเทศมีปัญหาด้านการเงิน จนทำให้ประเทศล้มละลาย ประเทศที่มีทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนในการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจกำลังเร่งดำเนินการเพื่อลดผลกระทบ หลังจากนี้จะเกิดการแข่งขันระหว่างประเทศในการดึงเม็ดเงินและการลงทุน เข้าสู่ประเทศของตนเพื่อรักษาระบบเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยนั้นนอกจากจะไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในการรับมือปัญหา รัฐบาลยังมีความเข้าใจผิดๆ และระบบการทำงานที่ไร้ทิศทาง จนไม่สามารถทั้งรับมือกับผลกระทบและไม่สามารถส่งเสริมประชาชนในประเทศได้”นายศรัณย์ กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img