วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
หน้าแรกNEWS‘สภาองค์การนายจ้างฯ’ชง 3 ข้อรัฐบาลใหม่ สางปัญหาแรงงานข้ามชาติ-เชื่อสร้างมิติใหม่
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘สภาองค์การนายจ้างฯ’ชง 3 ข้อรัฐบาลใหม่ สางปัญหาแรงงานข้ามชาติ-เชื่อสร้างมิติใหม่

“สภาองค์การนายจ้างฯ” เสนอ 3 ข้อถึงรัฐบาลชุดใหม่ สางปมปัญหาแรงงานข้ามชาติทันที เชื่อสร้างมิติใหม่อำนวยความสะดวก ก้าวข้ามการเลือกปฏิบัติ

วันที่ 26 พ.ค.2566 นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เนื่องจากสถิติในเดือนเมษายน 2566 เผยให้เห็นว่ามีแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามกว่า 1.9 ล้านคน อยู่ระหว่างกระบวนการจดทะเบียนและต่อใบอนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรี 7 ก.พ.2566 และต้องลงตราวีซ่าภายใน 15 พ.ค. 2566 ขณะนี้ยังไม่ปรากฏตัวเลขอย่างเป็นทางการว่า เหลือแรงงานจำนวนเท่าใดที่ดำเนินการได้ทันและไม่ทันตามกำหนดเวลาดังกล่าว และยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีหรือมาตรการใด ๆ มารองรับเพื่อให้แรงงานที่หลุดออกจากระบบสามารถทำงานในไทยกับนายจ้างต่อไปได้อย่างถูกต้องในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล  ดังนั้นสภาองค์การนายจ้างฯขอเสนอ 3 ข้อถึงรัฐบาลชุดใหม่ ให้เร่งดำเนินการทันทีเพื่อแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติ

1.การเปิดให้มีศูนย์จดทะเบียนแรงงานข้ามชาติแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service Centers หรือ OSSCs) เพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้างและแรงงานไม่ต้องเดินทางไปดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ในหลายหน่วยงาน เช่นเดียวกับก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการมีศูนย์ OSSCs จะช่วยลดภาระเรื่องการเดินทางของทั้งนายจ้างและแรงงานในการเข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาต ในเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา และยังจะช่วยลดขั้นตอนโดยนายจ้างและแรงงานจะสามารถดำเนินการยื่นคำร้อง ตรวจสุขภาพ ลงตราวีซ่า และรับใบอนุญาตทำงาน พร้อมกับบัตรสีชมพู ได้ในจุดเดียว และดีที่สุดคือภายในวันเดียว

2.ลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาต การเปิดศูนย์ OSSCs นายจ้างและแรงงานจะสามารถลดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางได้ทันที หากการดำเนินการทั้งหมดสามารถผ่านศูนย์ได้ที่เดียว และใช้เวลาเพียง 1 วัน โดย อัตราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโดยสมบูรณ์ควรสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเรียกเก็บเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนแรงงานหนึ่งคน สำหรับการทำงาน 2 ปี หากไม่มีประกันสังคม จะอยู่ที่ 9,480 บาท โดยประมาณ หรือ 6,380 บาท เมื่อหักค่าประกันสุขภาพออกไป ในกรณีที่แรงงานเข้าประกันสังคม ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการต่อเอกสารเดินทางของแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่านายหน้า ในกรณีที่ทั้งนายจ้างและแรงงานไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนได้ด้วยตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับฐานรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานแล้ว จึงไม่จูงใจให้แรงงานเข้าสู่ระบบ รัฐบาลควรมีแนวคิดปรับลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

นายเอกสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้แรงงานข้ามชาติ ยังมีข้อจำกัดในการได้รับบริการจากกระทรวงแรงงาน เช่น ไม่สามารถเข้าถึงโครงการอบรมพัฒนาทักษะแรงงาน หรือขอรับบริการจัดหางานในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง เป็นต้น และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรควรที่จะทำให้แรงงานรู้สึกมั่นคงปลอดภัย แต่ค่าวีซ่ากลับกลายเป็นเงื่อนไขไม่ให้แรงงานปรับเปลี่ยนสถานะเข้าเมืองให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยง่าย การใช้บริการคนกลาง หรือบริษัทในการช่วยดำเนินการอาจยังเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญ ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐควรจะกำหนดเพดานการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการบริการ ในปัจจุบันการจดทะเบียนแรงงาน ไม่มีการกำกับดูแลการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม และบางครั้งมีค่าธรรมเนียมที่สูงและไม่สมเหตุสมเหตุ หากกระบวนการจดทะเบียนเป็นกระบวนการที่ทำให้แรงงานสามารถเข้าทำงานได้อย่างถูกต้อง

3.ลดขั้นตอนหรือเงื่อนไขให้แรงงานข้ามชาติยังสามารถคงสถานะเข้าเมืองและมีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบุให้แรงงานต้องรายงานตัวทุกๆ 90 วัน  หากมองว่าการได้มาซึ่งใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องยุ่งยาก การคงสถานะพำนักและทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ยากพอ ๆ กัน ทั้งนายจ้างและแรงงานต่างมีหน้าที่แจ้งเข้าแจ้งออกการทำงานต่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และในระหว่างที่แรงงานอาศัยอยู่ในประเทศไทย ต้องแจ้งที่พักอาศัย และคอยรายงานตัวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุกๆ 90 วัน โดยผู้ให้ที่พักต่อคนต่างชาติก็มีหน้าที่ต้องแจ้งการให้ที่พักด้วย

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากนี้ควรใช้กรอบการพิจารณาใหม่ ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมตามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับแรงงานประเภทอื่นๆ หรือจากชาติอื่นๆ โดยอาจเริ่มจากการผ่อนปรนเงื่อนไขการรายงานตัว 90 วัน ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่ามีการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวกับผู้ถือวีซ่าประเภท smart visa ที่ให้รายงานตัวเพียงปีละหนึ่งครั้ง ในเมื่อแรงงานจดทะเบียนภายในประเทศมีนายจ้างและมีงานทำเป็นหลักแหล่ง การบริหารคนกลุ่มนี้ควรสอดคล้องกับความเป็นจริงและไม่นำมิติความมั่นคงของรัฐมาบังคับใช้อย่างเข้มงวดหรือเทียบเท่าการเข้าเมืองประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อมีมาตรการอื่นๆ ที่จะสามารถระบุหลักแหล่งของแรงงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งที่พักอาศัยใหม่ และการแจ้งเข้าทำงาน

“หากรัฐดำเนินการทั้ง 3 ข้อข้างต้นนี้ จะเป็นการสร้างมิติใหม่ของการอำนวยความสะดวกที่เอาความต้องการและประโยชน์ของผู้คนเป็นที่ตั้ง โดยก้าวข้ามการเลือกปฏิบัติอันมีเหตุมาจากสัญชาติ เชื้อชาติ หรือสถานะบุคคล โจทย์ของความมั่นคงของรัฐจะกลายเป็นการบริการและคุ้มครองประชาชน เพื่อสร้างความมั่นคงของมนุษย์ไปพร้อมๆ กับรัฐบาลที่มั่นคง”นายเอกสิทธิ์ กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img