อดีต รมว.คลัง เห็นด้วยกับผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่ารักษาเสถียรภาพ เหน็บ “ตู่” ไม่เข้าใจ ทำไม 7-8 ปี “จีดีพี” โตต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่น่าเชื่อถือเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.65 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับเรื่องเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้นว่า 1.ตนเห็นด้วยกับกรอบคิดของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ที่เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน มากกว่าการรักษาเสถียรภาพที่ต้องทำให้เงินเฟ้อต่ำๆ และเงินทุนต่างประเทศไม่ไหลออก
2.เนื่องจากเงินเฟ้อไทยครั้งนี้ มาจากด้านต้นทุนนำเข้าที่สูงขึ้น (Imported Cost Push Inflation) ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดอำนาจซื้อ อาจลดเงินเฟ้อไม่มาก รัฐบาลต้องแก้ไขเงินเฟ้อ ด้วยการลดการผูกขาดในหลายอุตสาหกรรม และลดค่าการกลั่นน้ำมันที่สูงมากเกินไปด้วย
3.แบงค์ชาติญี่ปุ่นใช้แนวความคิดนี้ จึงได้ปล่อยให้ดอกเบี้ยติดลบ 0.1-.02 ตั้งใจทำให้ค่าเงินเยนอ่อน ซึ่งอ่อนลงแล้ว 22% เทียบกับปีที่แล้ว มีผลให้การส่งออก การบริโภค การลงทุน การจ้างงาน และรายได้ประเทศ (GDP) สูงขึ้น ประชาชนฐานะดีขึ้น เพราะเงินเฟ้อในญี่ปุ่นมาจากต้นทุนนำเข้าที่สูงขึ้น
4.ในขณะที่สหรัฐ อังกฤษ และยุโรปหลายประเทศ เกิดเงินเฟ้อประมาณ 9-10% เพราะทำ QE คือพิมพ์กระดาษเป็นแบงก์มาใช้มากเกินไปในหลายปีที่ผ่านมา จึงเป็นเงินเฟ้อแบบความต้องการซื้อมีมากเกินไป (Demand pull inflation) เงินเฟ้อแบบนี้ จึงต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลด การบริโภค การลงทุน และลด GDP และการจ้างงาน ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แย่งกันซื้อของ ทำให้ของขาดแคลน รายได้และเงินที่ออมไว้ก็มีค่าลดลง สหรัฐ จึงขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% เป็นอัตราดอกเบี้ย 1.50-1.75% ในเดือนมิ.ย.65 อังกฤษก็ได้ขึ้นดอกเบี้ยตามเป็น 1.25%
5.แบงก์ชาติ กล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค.65 อยู่ที่ 7.1% มาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและการส่งผ่านต้นทุน ทำให้ กนง.ปรับประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จาก 4.9% เป็น 6.2% และปี 66 จาก 1.7% เป็น 2.5% คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ที่ไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ตัวเลขคงไม่ถึง 2 หลัก หลังจากนั้นจะทยอยปรับลดลงตามการผลิตน้ำมันดิบที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้กนง.ได้ปรับประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 65 เพิ่มเป็น 3.3% จาก 3.2% และปี 66 ขยายตัว 4.2% จากเดิมอยู่ที่ 4.4% จากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/65 ออกมาค่อนข้างดี โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเร็วขึ้น คาดว่าปลายปีจะอยู่ที่ 6 ล้านคน และปีหน้าจะอยู่ที่ 19 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไป”
6.อัตราดอกเบี้ยไทยยังไม่สูง 0.5% แบงก์ชาติอาจปรับขึ้นบ้าง ครั้งละ 0.25% ให้นักลงทุนสบายใจว่า แบงก์ชาติระวังเรื่องตลาดทุนด้วย ไม่ปล่อยให้เงินทุนระยะสั้นไหลออกมากไป แต่ควรรักษาค่าเงินบาทให้แข่งขันได้ดี ทำให้ส่งออกได้มาก ซึ่งจะทำให้ไทยรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานไว้ได้
7.มีคนพูดว่า “หากเทียบภาระที่เกิดขึ้นกับครัวเรือน ระหว่างเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ย พบว่าเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่เพิ่มภาระให้มากกว่า ค่อนข้างมาก” คือเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้ลดอำนาจซื้อลงไปมากกว่าการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว คำพูดนี้อาจไม่ถูกต้องนัก ที่คิดว่าขึ้นดอกเบี้ยแล้วเงินเฟ้อจะลดลง การขึ้นดอกเบี้ยคราวนี้ เงินเฟ้อจะลดลงไม่มาก เพราะเงินเฟ้อไทยมาจากต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับกรณีของญี่ปุ่น
8.ความลับก็คือ ส่วนใหญ่คณะรัฐมนตรีจะไม่ค่อยเข้าใจการบริหารระบบเศรษฐกิจมหภาค จึงมักมี ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติในอดีตไปบอกรัฐบาล ว่า “นโยบายการเงิน เป็นช้างเท้าหลัง” แล้วก็ไปขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงๆ และขึ้นเร็วกว่าที่ควร (ซึ่งไปลดการบริโภค และการลงทุน) ทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าปกติ (ซึ่งลดการส่งออก) ทำให้ระบบเศรษฐกิจเจริญเติบโตต่ำ คือระวังไว้ก่อน (Play Safe) ดังนั้นต่อไปในอนาคต หากจะแต่งตั้งผู้ว่าฯแบงก์ชาติ จึงควรตั้งจากนักเศรษฐศาสตร์มหภาค ผู้ที่มีความรู้เศรษฐศาสตร์จุลภาคเรื่องการธนาคาร การเงินธุรกิจ ตลาดหุ้นตลาดทรัพย์สิน ไม่เพียงพอ
9.รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้าใจว่า ทำไม 7-8 ปีที่ผ่านมา ระบบเศรษฐกิจไทยจึงเจริญเติบโตต่ำ ความจริงคือส่วนหนึ่งมาจากความไม่น่าเชื่อถือเชื่อมั่น (Credit) ต่อรัฐบาล อีกส่วนหนึ่งมาจากการมีดอกเบี้ยที่สูงเกินไปและค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป น่าเสียดายครับ!