วันเสาร์, เมษายน 20, 2024
หน้าแรกNEWS“บีซีพีจี”เล็งขยายกำลังการผลิต เทงบลงทุน 4 หมื่นล้าน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“บีซีพีจี”เล็งขยายกำลังการผลิต เทงบลงทุน 4 หมื่นล้าน

“บีซีพีจี” วางแผนขยายกำลังการผลิต เล็งซื้อกิจการทั้งใน-ต่างประเทศเพิ่มคาดใช้เงินลงทุน 30,000-40,000 ล้านบาท โชว์กำไรไตรมาส 1/65 แตะ 1,363 ล้านบาท

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  160.4% หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  แต่ถ้าเทียบไตรมาสที่ 4/2564 เพิ่มขึ้น 473.4% โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนิเซีย 

ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 516.7 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ 1/2564 อยู่ที่ 5.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3A” และ “Nam San 3B” เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่ตกมากขึ้นจากพายุฤดูร้อนในระหว่างไตรมาส รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส1/2565 ยังคงเป็นไปตามที่บริษัทฯได้ประมาณการไว้ และยังรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดี และบริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 2/2565 น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะได้มีการทยอยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ 

ทั้งนี้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยทำให้มีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2568 

สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณ 25-35% จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนที่จะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img