วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
หน้าแรกHighlightอึ้งสายพันธุ์เดลต้าแพร่เชื้อก้าวกระโดด คาดอีก2-3เดือนชิงพื้นที่50-50สู้อัลฟ่า
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

อึ้งสายพันธุ์เดลต้าแพร่เชื้อก้าวกระโดด คาดอีก2-3เดือนชิงพื้นที่50-50สู้อัลฟ่า

“กรมวิทย์ฯ” ตรวจพบ “สายพันธุ์” รุกคืบเข้า กทม. พบผู้ติดเชื้อใหม่ 86 ราย ติดสะสม 404 ราย นอนในรพ.กลางกรุงฯ 10 ราย และพบใน 13 จว.เชื่อมโยงเมืองหลวง ตะลึงแพร่เร็วกว่าสายพันธุ์อังกฤษถึง 40% คาดถ้ายังแพร่เชื้อแบบก้าวกระโดดแบบนี้ อีก 2-3 เดือน ชิงพื้นที่ถึง 50% แน่

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.64 ที่กรมวิทยาศาสตร์กาแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย จากตัวอย่างเชื้อที่ส่งข้ามายังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างวันที่ 7 เม.ย.-13 มิ.ย. จำนวน 5,055 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) 4,528 ราย คิดเป็น 89.6% สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เพิ่มขึ้นจาก 359 รายที่รายงานไปก่อนหน้านี้ เป็น 496 คน หรือเพิ่ม 137 ราย มากสุดคือ กทม. สะสม 404 ราย เป็นรายใหม่ 86 ราย ในจำนวนนี้พบ 10 ราย ในรพ.กลางกรุงเทพฯ 3-4 แห่ง อัตราการเพิ่มขึ้น จาก 8% เป็น 9.8% นอกจากนี้ยังพบที่ จ.ปทุมธานี 28 ราย จ.นครนายก 8 ราย จ.สกลนคร 3 ราย จ.พะเยา 2 ราย จ.อุบลราชธานี 2 ราย จ.เชียงราย จ.เพชรบูรณ์ จ.ชลบุรี จ.จันทบุรี จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี จ.เลย และ จ.บุรีรัมย์ จังหวัดละ 1 ราย ขณะที่สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) ที่เริ่มพบที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เดิมพบ 26 ราย ขณะนี้พบเพิ่มอีก 2 ราย นอก อ.ตากใบ แต่ยังอยู่ในจ.นราธิวาส ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบอีก 3 ราย สถานกักกันตัวของรัฐ จ.สมุทรปราการ

ความสามารถในการแพร่เชื้อของสายพันธุ์เดลต้า มากกว่าสายพันธุ์อัลฟ่า 40% ซึ่งต้องมีการจับตาอย่างใกล่ชิด เป็นรายสัปดาห์ หากสถานการณ์ยังทรงๆ อาจจะไม่มีปัญหา แต่หากยังมีการแพร่ระบาดแบบก้าวกระโดด คาดว่าประมาณ 2-3 เดือน อาจจะเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากขึ้น สัดส่วนครึ่งต่อครึ่งกับสายพันธุ์อัลฟ่า ส่วนในต่างจังหวัดที่พบเชื้อสายพันธุ์เดลต้านั้นพบว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ มาก่อน โดยเฉพาะแคมป์คนงานหลักสี่”นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า ข้อมูลที่กรมวิทย์ฯ ออกมารายงานให้ทราบสสม่ำเสมอนั้น ไม่ได้ต้องการทำให้ตกใจ แต่เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา การเฝ้าระวังเพื่อการควบคุมโรค

ขณะที่ นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยฯ กล่าว่า ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ใน 200 คน โดยนำเลือด หรือซีรั่ม มาตรวจสอบกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ พบว่าเมื่อตรวจพบเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม พบว่ามีภูมิฯขึ้นสูง 100%, สายพันธุ์อัลฟ่า ภูมิขึ้น 50-60% จะมีตรวจเพิ่มเติมในผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้วเป็นเวลา 3 เดือน 6 เดือน อีกครั้ง และขณะนี้กำลังทดสอบในคนฉีดวัคซีนของแอสตร้าฯ 1 เข็ม รวมทั้งจะทำการทดสอบกับเชื้อเดลตา และเบต้า เพื่อดูถึงประสิทธิภาพวัคซีนที่ได้รับขณะนี้

ด้าน นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทย์ กล่าวว่า การตรวจสายพันธุ์ต่างๆ เป็นการสุ่มตรวจเพื่อเป็นแนวทางเฝ้าระวัง โดยจะสุ่มตัวอย่างจาก 1.กลุ่มที่มีอาการรุนแรง 2.กลุ่มที่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ 3.พื้นที่ที่ไม่เคยระบากแต่มีการพบเชื้อ 4.ตามชายขอบชายแดน และ 5.กลุ่มที่ได้รับวัคซีนแล้วยังติดเชื้อ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img