วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกNEWSสธ.ชงยกระดับคุมเข้มโควิด ปิดการเดินทาง-ปิดสถานที่ งดออกจากบ้าน 14 วัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สธ.ชงยกระดับคุมเข้มโควิด ปิดการเดินทาง-ปิดสถานที่ งดออกจากบ้าน 14 วัน

สธ.ชงศบค.ปิดพื้นที่เสี่ยงกทม.พื้นที่สีแดง พื้นที่กันชน ปิดการเดินทางข้ามจังหวัด ห้ามออกจากบ้าน วอนปชช. ทำงานที่บ้าน ยกการ์ดสูงสุด สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ งดกินข้าวร่วมวงทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 64 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  แถลงว่า กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์พบการติดเชื้อโควิด19 วันนี่สูงถึงระดับ 7,058 ราย สะสมเกือบ 2.8 แสนราย เสียชีวิต 75 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกทม.และปริมณฑล และมีการแพร่ระบาดในต่างจังหวัดตามลำดับ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ค่อยๆ สะสมและเพิ่มแสดงถึงการติดเชื้อที่มากขึ้น ที่ประชุมประชุม EOC มีมติออกมาตรการหลายอย่างเพื่อเสนอต่อศบค. ต่อไป

1.การยกระดับมาตรการทางสังคมที่สำคัญคือการจำกัดการเดินทาง ให้ทุกคนอยู่บ้าน หยุดเชื้อ ไม่ออกเคหสถานโดยไม่จำเป็น แต่ให้ออกไปซื้ออาหาร ไปพบแพทย์ ไปฉีดวัคซีนได้ ที่สำคัญคือสั่งห้ามเดินทางข้ามจังหวัดต่อไป

นอกจากนี้ การปิดสถานที่เสี่ยงที่มีคนทำกิจกรรมร่วมกันต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ให้เปิดได้แค่ตลาด และซูเปอร์มาเก็ตที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต จะมีรายละเอียดที่กรมควบคุมโรคเสนอ ไปทั้งหมดนี้จะใช้ในสถานที่ในพื้นที่เสี่ยง และพื้นที่กันชนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน จะเสนอศบค.ในวันนี้เพื่อเข้าศบค.ใหญ่ต่อไป

“เราเสนอไปว่าจำกัดการเดินทางให้มากที่สุด กำกับ พยายามให้คนอยู่บ้าน ทั้งนี้ มาตรการครั้งนี้ จะเข้มข้นไม่น้อยกว่าเม.ย.63 ซึ่งตอนนั้นมีติดเชื้อหลักร้อยราย แต่ครั้งนี้มีการติดเชื้อจำนวนมากจึงต้องมีการเข้มข้นมา” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

ทั้งนี้จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่มากขึ้น มีประชาชนรอตรวจหาเชื้อโควิดจำนวนมาก ที่รพ.บุษราคัมมีผู้ป่วยเข้ารพ.ในรอบ 2 วันนี้กว่า 1,000 คน ถือว่าจำนวนค่อนข้างมาก เตียง ICU ก็มีแนวโน้มจะใช้มากขึ้นรวมถึงสีเขียวต้องใช้มากขึ้น ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขประสบภาวะเหนื่อยล้า จึงต้องพยายามหามาตรการ งานการไม่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปกป้องกันโรค

ดังนั้นที่ประชุม EOC จึงมีมติ 1. ให้ใช้ชุดตรวจ rapid antigen test ซึ่งเป็นชุดตรวจอย่างง่าย มีหลายการตรวจ ทั้งนี้มาตรการนี้ให้ทำทันที แต่ให้ทำในสถานพยาบาลที่ขึ้นไว้เท่านั้น และมีเตียงรองรับ หากให้ผลเป็นลบก็กลับบ้าน แต่หากให้ผลบวก หรือแพทย์มีความสงสัย ก็จะมีการตรวจซ้ำ RT-PCR เมื่อยืนยันผลเป็นบวกให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาต่อไป สำหรับในอนาคตอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ใช้ชุดตรวจ rapid antigen test ที่บ้านได้ แต่ย้ำว่าตอนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการในส่วนนี้

2.มาตรการในข้อ 1 ต้องทำร่วมกับมาตรการดูแลตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลตัวเองในชุมชน (Community Isolation) โดยมีการจัดระบบการแพทย์เข้าไปดูแ มีการส่งเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด และปรอทวัดไข้ และมีระบบการติดตามอาการ หากอาการสีเหลืองให้เข้ารักษาในรพ.ต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของผู้ป่วยอาการสีเขียวก็จะมีการปรับลดเกณฑ์การดูแลตัวเองที่บ้านจากเดิมที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ก็ให้อยู่เป็นครอบครัวได้ เป็นต้น นอกจากนี้ จะใช้กับผู้ป่วยที่แอดมิทในรพ.ตั้งแต่ 10 วันแล้วให้กับมาทำมาตรการดูแลตัวเองที่บ้านและชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการเข้ารับการรักษาในรพ.ต่อไป

 3. มาตรฐานส่วนบุคคลทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ต้องทำอย่างเข้มข้นเรียกว่า บับเบิล แอนด์ซีลตัวเอง ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ขอให้งดรับประทานอาหารร่วมกันเพราะสามารถแพร่ะระบาดได้ จึงขอให้ต่างคนต่างรับประทานสักระยะหนึ่งและอยากให้มีการเน้นการทำงานที่บ้าน (Work from home) ให้มากขึ้นเพื่อลดการแพร่ระบาดเชื้อต่อไป 4.การฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเสี่ยงคือผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรค ต้องใช้วัคซีน 80% ของที่มีฉีดให้กลุ่มนี้เพื่อลดอัตรการป่วยหนักและเสียชีวิต โดย 1 – 2 สัปดาห์ต้องฉีดให้ได้มากกว่า 1 ล้านโดส โดยกระทรวงจะระดมบุคลากรมาช่วยฉีด

เมื่อถามว่าจากการดำเนินการแบบนี้จะลดผู้ติดเชื้อได้มากน้อยแค่ไหน นพ.โอภาส กล่าวว่า ภาพรวมมาตรการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันในระยะฟักตัวของโรค ซึ่งมาตรการนี้อย่างน้อยจะเท่ากับเม.ย. 63 ร่วมกับมาตรการฉีดวัคซีน และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนก็จะลดลงได้.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img