วันศุกร์, เมษายน 26, 2024
หน้าแรกHighlightสธ.แจงฉีด’’ไฟเซอร์’’ให้บุคลากรส่วนกลางที่ทำงานด่านหน้า
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สธ.แจงฉีด’’ไฟเซอร์’’ให้บุคลากรส่วนกลางที่ทำงานด่านหน้า

กรมการแพทย์ แจงฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรส่วนกลาง เป็นตามหลักเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ยันทุกคนทำงานด่านหน้า

เมื่อวันที่ 12 ส.ค.64  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกหนังสือชี้แจงกรณีที่การแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) ให้แก่บุคลากรส่วนกลางที่ปฏิบัติงานส่วนงานสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยังมีความรุนแรง ปัจจุบันพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ขาดแคลนบุคลากรในโรงพยาบาลประกอบกับบุคลกรในโรงพยาบาลบางส่วนมีการติดเชื้อและบางส่วนทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ต้องหมุนเวียนบุคลากรจากส่วนกลางไปทำงาน

เพื่อลดความเหนื่อยล้าของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องมาหลายเดือน จึงมีความจำเป็นต้องให้บุคลากรส่วนกลางบางส่วนไปปฏิบัติงานช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองผู้ป่วย การอำนวยความสะดวกงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโควิด 19 การประสานงานการรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิด 19 และงานด้านอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยสถานที่ปฏิบัติงานมีจำนวนมาก อาทิ ศูนย์แรกรับและส่งต่อ อาคารนิมิบุตร ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ Hospitel หรือ โรงพยาบาลของกรมบางแห่ง เป็นต้น

ดังนั้น บุคลากรส่วนกลางที่ปฏิบัติงานสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังกล่าว ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 จากการปฏิบัติงาน โดยบุคลากรส่วนกลางทั้งหมดมีจำนวน 430 คน แต่มีเพียงบุคลากรที่ไปช่วยงานในสถานีที่เสี่ยงดังกล่าว 112 คน เท่านั้น ที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนของ Pfizer เช่นเดียวกับบุคลากรด่านหน้า ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขทุกประการ

ขอยืนยันว่าการฉีดวัคซีนเป็นไปเงื่อนไขความจำเป็นและหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและการควบคุมป้องกันโรค ซึ่งมีโอกาสและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากการปฏิบัติงานทั้งสิ้น ดังนั้น หากผู้ปฏิบัติงานได้รับวัคซีนแล้วจะสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และสามารถเป็นกำลังสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img