วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
หน้าแรกHighlightก.อ.ให้‘เนตร นาคสุข’ออกจากราชการ เซ่น‘คดีบอส’เหตุใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ก.อ.ให้‘เนตร นาคสุข’ออกจากราชการ เซ่น‘คดีบอส’เหตุใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบ

“ก.อ.” มีมติเอกฉันท์ให้ “เนตร นาคสุข” ออกจากราชการ หลังใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบ คดีสั่งไม่ฟ้อง “บอส” ขับรถชน ตร.ตาย ชี้เจ้าตัวมีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อ ถ้าไม่เห็นด้วย “พชร” ย้ำไม่ใช่การช่วยเหลือกัน ย้ำรับไม่ได้ ถ้าองค์กรอัยการไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.65 ที่ศูนย์ราชการอาคารเอ สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.เเจ้งวัฒนะ นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เป็นประธานในการประชุม ก.อ. โดยที่ประชุมมีการลงมติถึงผลสอบคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ “บอส” อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหา คดีขับรถชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต

ภายหลังการประชุม นายพชร กล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุม ก.อ.มีผู้เข้าร่วมประชุม 14 คน ลา 1 คน ซึ่งมีก.อ.ที่เคยถูกตั้งเป็นกรรมการสอบสวนวินัยนายเนตร จำนวน 6 คน ที่ประชุมจึงให้งดออกเสียงโดยกรรมการที่มีสิทธิลงมติจึงเหลือ 8 คน ซึ่งกรรมการทั้ง 8 มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า นายเนตรขาดความระมัดระวังละเอียดรอบคอบในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี และไม่ให้ความสำคัญกับสำนวนทุกประเภท ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา ของพนักงานอัยการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ อย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 และความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวังเป็นเหตุ ให้เสียหายแก่ราชการ และฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตามแห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ส่วนความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำครั้งเดียว ผิดวินัยหลายฐาน จึงเห็นควรลงโทษในสถานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษหนักกว่า

นายพชร กล่าวต่อว่า แต่ทางสอบสวน ไม่ปรากฏพยานหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกไล่ออกจากราชการ เห็นพ้องกันว่าควรลงโทษผู้ถูกกล่าวหา “ปลดออกจากราชการ” แต่เมื่อพิจารณาถึงประวัติการรับราชการพบว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยถูกลงโทษในการกระทำความผิดทางวินัยมาก่อน และกรณีดังกล่าวนี้ เป็นการกระทำความผิดทางวินัยครั้งแรก ผู้ถูกกล่าวหาเองได้รับราชการมาเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ทำคุณประโยชน์แก่ราชการไว้มาก กรณีมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา คณะกรรมการ ก.อ.ทั้ง 8 คน ซึ่งรวมตนด้วย จึงมีมติเเละคำสั่งให้ลงโทษนายเนตร นาคสุข ผู้ถูกกล่าวหา ในสถาน “ให้ออกจากราชการ” ตาม พ.ร.บ.ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 85,87

นายพชร กล่าวอีกว่า มติก.อ.วันนี้ ถือว่าสิ้นสุดแล้วในส่วนของการดำเนินการทางวินัย หากนายเนตรไม่เห็นด้วยกับ มติก.อ.ก็ยังสามารถใช้วิธีทางปกครอง โดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ทั้งนี้คำสั่งให้ออกจากราชการ มีผลตั้งแต่วันที่มีการอนุมัติให้ลาออกจากราชการแล้ว ในส่วนการดำเนินคดีอาญากับนายเนตร ของสำนักงานอัยการนั้น คงไม่มีแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น อย่างไรก็ตามในส่วนของนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์นั้น เราก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมีนายประพัฒน์พงศ์ สุคนธ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปกครอง เป็นประธานสอบ แต่จะเป็นความผิดสถานใด ก็ต้องรอดูผลสอบสวน

เมื่อถามว่า การลงโทษนายเนตร นาคสุข แค่ให้ออกจากราชการ มองว่าเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ นายพชร กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือกัน เพราะนายเนตรนั้น ในหมู่อัยการรู้นิสัยกันดีว่า จริงๆ แล้วนายเนตรไม่ควรจะขาดความรอบคอบ แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การสั่งคดีนั้นมีการทุจริตตรงไหน นายเนตรถือเป็นอัยการที่มือสะอาด แต่การใช้ดุลพินิจในขณะนั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ถือว่าขาดความรอบคอบจากมาตรฐานของคนที่ทำคดีมายาวนาน ซึ่งต้องมีความรอบคอบมากขึ้น และต้องสอบพยานคนกลางที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้เป็นที่ยอมรับของสังคม

“องค์กรอัยการเราอยู่มาถึง 140 กว่าปี ถ้าเราไม่ได้รับความเชื่อถือต่อสังคม เรารับไม่ได้ เพราะองค์กรจะต้องอยู่ต่อไป เราเป็นทนายแผ่นดิน เป็นข้าแผ่นดิน ถ้าทนายแผ่นดินเชื่อถือไม่ได้ ก็ไม่รู้จะสรรหากระบวนการยุติธรรมไหนที่เชื่อถือได้อีกแล้ว” ประธานก.อ.ระบุ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img