ใน “รัฐบาลแพทองธาร 2” ที่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ยังนั่งควบในตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ต่อไป ท่ามกลางความกดดันต่างๆ นานา ที่ต้องการเปลี่ยนตัว “รมว.พลังงาน” ทุกวินาที อย่าได้พลาดพลั้งแม้แต่ก้าวเดียว
การนำเรื่องร้องไปที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณี “แจกถุงยังชีพ” ก็น่าแปลกใจที่มีข่าวปล่อยออกมา ก่อนจะเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาจริงๆ แบบ “ย้ำๆ ว่ามีคดี” แล้วก็น่าสนใจอีกตรง “การจัดให้มีการแจกถุงยังชีพ และภาพถ่ายการแจกนั้นต้องมาในจังหวะจะปรับครม.” แต่จริงๆ ก็อยากจะสอยลงมาตลอด ตั้งแต่มีชื่อ “พีระพันธุ์” มานั่งรมว.พลังงาน ก็มันต้อง “ไหลตามน้ำเท่านั้น ถึงจะอยู่รอด” หรือแม้แต่ฝ่ายประจำเองก็ตาม
บนความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ร้อนระอุ มาซ้ำด้วยสถานการณ์ สงครามอิหร่าน-อิสราเอล ทำให้ ราคาพลังงานพุ่ง เหมือนตอนรัสเซีย-ยูเครน เราก็ได้เห็นการเดินหน้าของฝ่ายประจำกระทรวงพลังงาน สานความร่วมมือจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในโครงการ Alaska LNG โดยไม่มีเงาของ “รมว.พลังงาน” ร่วมหอลงโรงด้วย ทั้งที่เป็นโครงการเพื่อซื้อตามสัญญาระยะยาว (Long Term Contract) เพื่อไม่ทำให้ต้นทุนค่าไฟผันผวน
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา “ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ” ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาว ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท 8 Star Alaska, LLC เพื่อจัดหา LNG รองรับความต้องการใช้ในประเทศและขยายธุรกิจ LNG ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐ แต่ผู้นำเข้านอกจาก ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้วข่าวว่าจะมีผู้นำเข้า LNG เอกชนบางรายได้สิทธิด้วย ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่า ใครจะได้ไป?

จังหวะนี้เองก็มีข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP หรือ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ เดินหน้า โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LNG (LNG Terminal) วงเงินลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ที่จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2572 ซึ่งสถานีดังกล่าวถือเป็นสถานีรับ-จ่าย LNG แห่งที่ 3 ของประเทศไทย
โครงการนี้ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โครงการประกอบไปด้วยงานถมทะเลในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ และงานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและ LNG Terminal บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ ซึ่งในส่วนของงานถมทะเลนั้น GMTP ได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 และเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯโดยบริษัท กัลฟ์ฯ ซึ่งมีบทบาทนำในฐานะผู้ถือหุ้น 70% ระบุว่า “โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LNG จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ และช่วยรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการมาบตาพุดยังเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้เชื่อมโยงอย่างครบวงจรระหว่างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจนำเข้า LNG โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (GLNG) ที่มีแนวโน้มการนำเข้า LNG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่มบริษัทฯ”
ข่าวฯยังแจ้งให้รายละเอียดว่า ไม่ได้ทำโดยพลการ แต่ “ธุรกิจสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่ได้รับการควบคุมโดยภาครัฐ (Regulated Business) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการ และได้รับรายได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ”

โดยรายได้ของโครงการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ซึ่งสะท้อนเงินลงทุน ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปต้นทุน และ 2) ค่าบริการส่วนของต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผันในการให้บริการ (Variable Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่แปรผันโดยตรงตามปริมาณการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นก๊าซ ซึ่งต้นทุนทั้งหมดจะถูกส่งผ่าน (Passed Through) ไปยังลูกค้าที่มาใช้บริการโครงการ
โครงการ LNG Terminal แห่งที่ 3 นักวิชาการด้านพลังงานเคยเสนอให้เลื่อนออกไปก่อน เพราะการลงทุนหลักหมื่นล้านหมายถึงจะมีต้นทุนบวกเข้ามาในโครงสร้างค่าไฟฟ้าด้วย ขณะที่รัฐบาลก็กำลังหาทางลดต้นทุนค่าไฟอยู่ แต่ต้านทานไม่ไหวโครงการหมื่นล้านเดินหน้าต่อมาเรื่อยๆ!
การส่งเสริมการนำเข้า LNG ไม่ใช่ทางของนายพีระพันธุ์ เพราะเขาได้ประกาศแล้วว่าจะ “มุ่งไปที่การบริหารจัดการ เพื่อตรึงราคาค่าไฟเป็นเป้าหมายหลัก โดยต้องการลดการนำเข้า LNG เพราะราคาผันผวน”
ดูทางแล้ว LNG Terminal แห่งที่ 3 อาจจะมาทันกับการรับ LNG อะแลสกา สหรัฐ ซึ่งตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางเยือนกาตาร์เมื่อ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อทำข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจก็มีนักธุรกิจหนึ่งเดียวจากไทยผู้ถือหุ้นโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LNG 70% ได้พบปะพูดคุยกับทรัมป์…เกินต้านจริงๆ
ดังนั้นภารกิจของนายพีระพันธุ์ที่จะคานงัดกับอะไรก็ตามถือเป็นงาน “ล้มยักษ์” ซึ่งอาจทำได้แค่ “สะกิดให้ยักษ์โมโห” ซึ่งเรื่องยากแบบนี้แน่นอนว่าต้องอาศัยมวลชนเป็น backup เรื่องค่าไฟอยู่ในมือใคร ? เพจเชียร์ลุงพีตอนนี้ก็ใช้กลยุทธ์แซะผ่านโซเชียลแบบย้ำๆ ข้อความ “โครงสร้างที่บิดเบี้ยวของค่าไฟ” เพื่อจะสื่อสารว่าที่ลุงพีอยู่ร่วมรัฐบาลนั้นก็เพื่อทำภารกิจ “รื้อ” ให้จบ

ข้อมูลแชร์กันมาแบบถี่ๆ ก็คือ “ปัจจุบันคนไทยใช้ไฟฟ้าจากเอกชน ทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) สัดส่วน 67.8% ส่วนรัฐโดยกฟผ.ผลิตอยู่ 32.2%” หรือ “แม้รัฐจะมีโรงไฟฟ้าเองแต่ก็ซื้อไฟจากเอกชนตามสัญญาตามอายุโรงไฟฟ้า แม้บางช่วงไฟจะเหลือแต่ก็ต้องจ่าย”
พร้อมกันนี้ก็ตอกลิ่มเชิญชวนประชาชนให้คล้อยตามว่า “เราจะยอมจ่ายต่อไป โดยไม่รู้เลยว่า…ใครได้ประโยชน์?” และแฮชแท็ก #BehindTheBill #เบื้องหลังบิลไฟ
เอาจริงแล้ว “การรื้อโครงสร้างพลังงาน” ซึ่งควรทำนั้น แน่นอนว่า เป็นคำตอบว่า ทำไม “พีระพันธุ์” ถึงต้องอยู่ร่วมรัฐบาลนั้น เพื่อทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จ แต่ก็ไม่สำคัญไปกว่า การไปทำให้ใครโมโหนั้น กำลังถูกยักษ์เตะขาล้มก่อนภารกิจสำเร็จได้ตลอดเวลา และ “อย่าลืมว่าใครที่ว่านั้นรวมใครๆ กลุ่มใหญ่ที่คุมกฎเสียด้วย” แต่กระนั้นที่มาที่ทำให้ “ใครใหญ่จนคนอื่นเล็ก” ก็สร้างความคลางแคลงใจให้คนจำนวนมากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นก็เป็นอีกเหตุว่าการรื้อของ “พีระพันธุ์” ก็มีคนพร้อมสนับสนุนอยู่ ก็ใช่ว่าจะหัวเดียวกระเทียมลีบ
……………………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)




















