แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” จะย้ำหนักแน่นว่า “การเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน” ระหว่างขึ้นเวทีของสื่อค่ายบางนาเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ใช้ชื่อเวที “ผ่าทางตัน” แต่จะพบว่า “ทักษิณ” ที่ก่อนหน้านี้เคยแสดงความเชื่อมั่นว่า “รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ครบเทอม” แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จาก “คลิปเสียงพ่นพิษ” จนทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็นนายกฯ
ทำให้ถึงแม้ “ทักษิณ” จะบอกว่า “รัฐบาลเพื่อไทยไม่ถึงทางตัน มีทางออกได้อยู่” แต่จะพบว่า การประเมินสถานการณ์การเมืองของ “ทักษิณ” ในวันนี้ มีตัวแปรเรื่อง “ยุบสภาฯ” เข้ามาแล้ว จากที่เมื่อก่อน “ทักษิณ” ไม่เคยพูดเรื่องยุบสภาฯเลย
“มีหลายออฟชั่น ออฟชั่นแรก นายกฯ แพทองธารรอด กลับไปทำงานเหมือนเดิมยาว ถ้าไม่รอดมีทางเลือก 2 อย่าง คือ เสนอ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย หรือยุบสภา มี 3 ทางเท่านั้นเอง ผมเป็น สทร. ผมรักบ้านเมือง ผมไม่ยอมหรอก ผมขอเสือก ไม่ยอมให้ถึงทางตัน”
จะเห็นได้ว่า ท่าทีของ “ทักษิณ” ก็คือ ต่อให้ “แพทองธาร” ไม่รอด ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกฯ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ก็ไม่ยอมให้อำนาจหลุดมือ ก็จะดัน “ชัยเกษม” ขึ้นเป็นนายกฯ ให้ได้ ไม่มีทางให้ “การเมืองพลิกขั้ว” แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่น เช่น “อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ” ขึ้นมาเบียดลุ้นเก้าอี้นายกฯ แข่งกับเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน หาก “ฝ่ายอนุทิน” ทำสำเร็จ เดินเกม รวมเสียงสส.แข่งสู้กับ “เพื่อไทย” ตอนโหวตนายกฯ จนทำให้ “เพื่อไทย” อาจพลิกไปเป็นฝ่ายค้าน ก็อย่างที่ “ทักษิณ” บอกคือ “อาจยุบสภาฯ ไปเลย” คือ “ทักษิณ” จะไม่ยอมให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ “ภูมิใจไทย” เป็นแกนนำรัฐบาล
แต่ทว่า ก็จะมีปัญหาข้อกฎหมายคือ หาก “แพทองธาร” หลุดจากนายกฯ แล้ว “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ในฐานะรักษาการนายกฯ สามารถ “ยุบสภาฯ” ได้หรือไม่ เพราะยังไม่เคยเกิดกรณีดังกล่าว และศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยวางบรรทัดฐานเอาไว้
ผนวกกับความเห็นของ “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา-อดีตเลขานุการกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ชี้ไว้ชัดเจนว่า “ถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ผลคือ ครม.จะพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จากนั้นสภาฯ ต้องดำเนินการเพื่อให้มีการเลือกนายกฯ และ ครม.ใหม่ขึ้น จึงต้องมีสภาอยู่เพื่อดำเนินการดังกล่าว สภาจึงไม่อาจถูกยุบได้ในห้วงเวลานี้ และถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะทำดังกล่าวมาข้างต้น”
ที่ชี้ชัด ๆ ว่า หาก “แพทองธาร” ไม่รอด “ภูมิธรรม” รักษาการนายกฯ ก็ยุบสภาไม่ได้ ต้องให้สภาโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ ตั้งครม.ใหม่
ทำให้ “ฝ่ายทักษิณ” จึงต้องเตรียม “ชัยเกษม” ไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ในการสร้างการยอมรับให้กับสส.พรรคร่วมรัฐบาล ให้โหวต “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ ไว้ก่อน ไม่ให้แตกแถว-แตกตัว ไปหนุน “อนุทิน” แทน
ซึ่งหากมองตามสภาพ ถ้าตั้งรัฐบาลกันใหม่ “ชัยเกษม” ขึ้นเป็นนายกฯ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ก็พร้อมให้โควตารัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเต็มที่ แบบที่เกิดขึ้นในการปรับครม.ล่าสุด ที่แจกเก้าอี้ให้พรรคร่วมรัฐบาล-กลุ่มก้อนการเมืองต่าง ๆ แบบทั่วถึงกัน เพื่อให้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นกับ “เพื่อไทย” ต่อไป
ผนวกกับหาก “พรรคร่วมรัฐบาล” จะสวิงไปหนุน “อนุทิน” โดยมี “พรรคประชาชน” มาร่วมโหวตให้ แต่ไม่ร่วมรัฐบาล ก็พบว่า เงื่อนไขของพรรคประชาชน คงทำให้หลายพรรคอึดอัด ไม่เอาด้วย แม้แต่กับ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” เช่น การให้เร่งเดินหน้าทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วให้ยุบสภาฯ ภายในสิ้นปี ที่ก็คือ เป็นรัฐบาลอายุสั้น ๆ แค่ไม่ถึงหกเดือน แบบนี้ “พรรคร่วมรัฐบาล” บอก ก็กอดอยู่กับ “เพื่อไทย-ทักษิณ” ต่อไปยังดีกว่า แล้วโหวตดัน “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ ไป เพราะหากไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะเกินหกเดือน เผลอ ๆ อาจอยู่ได้เป็นปี หรือแม้แต่ครบเทอม ไปถึงช่วงเม.ย. 2570 ถ้าไม่มีอุบัติเหตุการเมืองใด ๆ กับ “ชัยเกษม” แบบที่ “แพทองธาร” เจอกรณีคลิปเสียง
ด้วยเหตุนี้ ถึงตอนนี้ยังไง “แต้มต่อ” ยังอยู่ที่ฝั่ง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ที่จะยังคงเป็นรัฐบาลต่อไปได้อีก ต่อให้ “แพทองธาร” โดนศาลรธน.เด็ดหัว หลุดจากเก้าอี้นายกฯ ก็ตาม
ที่น่าสังเกตก็คือ พบว่าเวลานี้ “ชัยเกษม” เปิดตัวมากขึ้น เพื่อแสดงความพร้อม หากต้องรับไม้ต่อจาก “แพทองธาร”
อย่างล่าสุด “ชัยเกษม” ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงความเป็นไปได้ในการจะขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไปว่า
“คนเคยเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน ก็ต้องพร้อม ไม่ต้องห่วง มีประสบการณ์มาเยอะ ความพร้อมไม่ต้องพูดถึง แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ รอให้ถึงเวลานั้นก่อน ถ้าไปพูดถึงก่อน แล้วไม่เกิดขึ้นจริง จะอายเปล่า ๆ ถ้าเกิดขึ้นจริงก็พร้อมทำงานให้ประเทศ โดยไม่มีเงื่อนไข สุขภาพไม่มีปัญหา แข็งแรงดี”
กระนั้น หาก “ชัยเกษม” จะขึ้นเป็นนายกฯ ก็คงต้องเคลียร์ปมบางอย่างที่สังคมคลางแคลงใจ เช่น ท่าทีช่วงปี 2564 สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านและ “ชัยเกษม” เป็นปธ.คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ ที่เคยออกแถลงการณ์ในนามพรรคเพื่อไทย สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ในช่วง “ม็อบสามนิ้ว” กำลังพีก ๆ ชนิดแกนนำเพื่อไทยตะลึงกันทั้งพรรค
เรื่องนี้รับรองได้ว่า หาก “ชัยเกษม” จะขึ้นเป็นนายกฯ ต้องโดนฝ่ายตรงข้ามออกมาตั้งป้อมถล่ม และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องร้องขอให้ “ชัยเกษม” แถลงข่าวหรือประกาศให้ชัดเจนในเรื่อง “จุดยืนเกี่ยวกับสถาบันฯ” ที่เชื่อว่า “ชัยเกษม” คงพร้อมเคลียร์ตัวเองในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว “ชัยเกษม” จะได้ขึ้นเป็นนายกฯ หรือไม่ ก็อยู่ที่ “แพทองธาร” ต้องไม่รอด โดนศาล รธน.ฟันฉับ หลุดจากนายกฯ โดยแม้คนจะมองว่า โอกาส “แพทองธาร” จะรอด…ยังมีอยู่ แต่ลุ้นเหนื่อย เพราะ “โอกาสไม่รอด…สูงกว่า” แต่หาก “ทักษิณ-เพื่อไทย” ไม่ตลบหลัง ด้วยการให้ “แพทองธาร” ชิงลาออกจากนายกฯก่อนวันศาล รธน.ตัดสินคดี ที่หากลาออกจะทำให้ ศาล รธน.ต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
แต่หาก “ทักษิณ” ให้ “แพทองธาร” สู้จนถึงที่สุด สิ่งที่ต้องติดตามก็คือ กลางสัปดาห์นี้ จะครบกำหนด 15 วันที่ศาล รธน.สั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ฯ และให้ส่ง “คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” มาให้ศาล รธน. หลังศาล รธน.รับคำร้องเมื่อ 1 ก.ค.
จึงต้องดูว่า “แพทองธาร-ทีมทนายความ” จะยื่นขอขยายเวลาในการส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปอีก 15 วันหรือไม่?
ที่เป็นการใช้สิทธิ์ซึ่ง “แพทองธาร” สามารถยื่นได้ในฐานะ “ผู้ถูกร้อง” ซึ่งโดยปกติส่วนใหญ่ ก็มักจะมีการขอขยายเวลากันอยู่แล้ว โดยหากยื่นขอขยายเวลาออกไป 15 วัน ก็จะทำให้การพิจารณาคดีฯ ก็จะขยับออกไปอีกร่วม ๆ ครึ่งเดือน
ช่วงต้นสัปดาห์นี้ ก็ได้รู้กันว่า “แพทองธาร” จะใช้สิทธิ์ดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากขอขยายเวลานอกจากทำให้ มีเวลามากขึ้นในการเขียนเอกสารให้รัดกุมมากขึ้น ยังทำให้ขยายเวลาการเป็นนายกฯ และ รมว.วัฒนธรรม ได้อย่างน้อย ๆ 15 วัน แต่หากไม่ขยาย เวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็สั้นลงนั่นเอง!!!
…………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”
