รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีข่าว “ทักษิณ ชินวัตร-แพทองธาร ชินวัตร” ตัดสินใจ “ปรับ ครม.” ก่อนวันที่ 13 มิ.ย. ที่ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนคดีชั้น 14 ก็เกิดกระแสข่าวลือต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ไม่ว่าจะเป็น “แกนนำเพื่อไทย” คุยกับ “แกนนำภูมิใจไทย” แล้ว ได้ข้อตกลงร่วมกันว่า “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) จะยอมให้ “กระทรวงมหาดไทย”กับ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) โดยมีข่าว “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะปรับจาก “สิงห์หนู-มท.1” ไปเป็น “เสมา 1” คุมกระทรวงศึกษาธิการ
แค่นั้นไม่พอ ยังลือกันด้วยว่า “อนุทิน” ยื่นเงื่อนไขขอเป็น “รมว.พลังงาน” ทั้งที่โควตานี้เป็นของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) ที่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค นั่งควบรองนายกฯอยู่
หากเป็นแบบนี้ หมายถึง “ทักษิณ” จะปรับ “รทสช.” ออกจากรัฐบาล ให้เป็นฝ่ายค้าน แบบที่เคยปรับ “พลังประชารัฐ” (พปชร.) ออกแล้วให้ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ดึง “สส.พปชร.” แยกออกมา ไปตั้ง “พรรคกล้าธรรม” แล้วได้ 3 เก้าอี้คุม “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ใช่หรือไม่?
เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้เห็นกันแล้วกับการเคลื่อนไหวของ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมช.พาณิชย์ และ รองหัวหน้าพรรค รทสช. ได้เคลื่อนไหวนัดสส.ร่วมยี่สิบคน แสดงพลังกินข้าวเที่ยงที่โรงแรมหรูคอนราด โดยมีข่าวว่ามี “เสี่ยใหญ่นักธุรกิจดัง” (เคยเป็นนายทุนพรรค รทสช. แต่ตอนนี้แยกตัวออกมาแล้ว หลังทะเลาะกับ “กลุ่มพีระพันธุ์”) เป็น “สปอนเซอร์” หนุนหลังการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มสุชาติ” ในการเตรียมย้ายไป “พรรคโอกาสใหม่”
จนลือกันว่า “นายทุนใหญ่คนดังกล่าว” ที่แนบแน่นกับ “ทักษิณ” เสนอให้ปรับ “รทสช.” ออก แล้วให้ “สุชาติ” ดึง “สส.รทสช.” ไปอยู่กับ “พรรคโอกาสใหม่” ให้ได้สัก 15-18 คน แล้ว “พรรคโอกาสใหม่” จะได้โควตา “รัฐมนตรีว่าการฯ” 2 กระทรวงคือ “รมว.พลังงาน” กับ “รมว.อุตสาหกรรม”
เรียกได้ว่า ตามรอยเดียวกับ “ธรรมนัส-กล้าธรรม” ที่หัก “กลุ่มบ้านป่ารอยต่อฯ” ของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ซึ่งหากเป็นแบบนี้ “กลุ่มพีระพันธุ์” ก็อาจไปเป็น “ฝ่ายค้าน” แล้วก็ขับ “กลุ่มสุชาติ” ออกจาก “รทสช.” ทุกอย่างก็จะเหมือนกับ “กลุ่มธรรมนัส” ชนิดลอกเลียนแบบกันมาเลย
เท่านั้นไม่พอ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่า “อนุทิน-ภท.” ชักเริ่ม “ทนไม่ไหว” เพราะมองว่า ข่าวที่ออกมาว่า “ภท.” ยอมคลาย “กระทรวงมหาดไทย” แล้ว โดย “คนใน ภท.” เห็นว่า เป็นข่าวที่ออกมาจากฝั่ง “เพื่อไทย” ที่เล่น “ปั่นกระแสข่าว” ทั้งที่ “คนใน ภท.” ยังไม่ได้เจรจาตกลงอะไรกับ “เพื่อไทย” แบบจริงจัง แต่เล่น “ออกข่าว” ทำนองว่า “ภท.ยอมหมดแล้ว” แลกกับการได้อยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปแบบ “ไม่กล้าหือ” เหมือนกับไม่กล้าต่อรองกับเพื่อไทย
ทำให้ฝ่าย “ภท.” เลยต้องเปิด “ปฏิบัติการให้ข่าวเชิงรุก” บ้าง ทำนองว่า “ภท.” ไม่ขัดข้องที่จะคืน “มหาดไทย” ให้กับ “เพื่อไทย” แต่เห็นว่าตอนนี้ สภาฯเหลืออายุไม่ถึง 2 ปีก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว เมื่อตอนนี้ “รัฐบาลเพื่อไทย” ทำงานมา 2 ปีเศษจาก “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” มาถึง “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร”
“คนใน ภท.” จึงเห็นว่า เมื่อจะปรับครม.ทั้งที ก็ควร “ปรับใหญ่-เขย่าขวดกันใหม่” แบบ “ล้างโควตาเดิม” ไปเลย คือ จากเดิมที่ “ภท.” มีโควตา “รัฐมนตรี 8 เก้าอี้” แยกเป็น “รัฐมนตรีว่าการฯ 4 เก้าอี้” คือ “อนุทิน ชาญวีรกูลรมว.มหาดไทย-พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ-พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน-ศุภมาส อิสรภักดี รมว.อุดมศึกษาฯ” และ “รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ 4 เก้าอี้”
โดย “ภท.” ยอมคืน “มหาดไทย” ให้ “เพื่อไทย” แต่ยื่นเงื่อนไข ขอปรับ ครม. 2 สูตร
สูตรที่ 1 ได้ตำแหน่ง “รองนายกฯ-รมว.คมนาคม-รมว.สาธารณสุข-รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา” ซึ่งข้อเสนอสูตรนี้ เท่ากับ “ภท.ยอมลดรัฐมนตรีว่าการ 1 ตำแหน่ง” แต่มีเงื่อนไขกำกับดูแลการบริหารทั้ง 3 กระทรวง 100% โดยรัฐมนตรีของ ภท. 7 คน จะรับผิดชอบ 3 กระทรวง
สูตรที่ 2 ยังคงได้ รัฐมนตรีว่าการฯ 4 คนเท่าเดิม คือ “รองนายกฯ กำกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ควบรมว.เกษตรและสหกรณ์-รมว.พาณิชย์-รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ซึ่งสูตรนี้ “อนุทิน” จะเป็นรองนายกฯควบรมว.เกษตรฯ
เรียกได้ว่า ทั้ง 2 สูตร ไม่ว่าจะเอาสูตรไหน จะทำให้เกิด “แรงกระเพื่อม” ตามมาภายใน “พรรคร่วมรัฐบาล” แน่นอน
เพราะอย่าง สูตรแรก ตัว “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคม ก็คงไม่ยอมง่ายๆ ที่จะลุกจากเก้าอี้
ส่วน สูตรที่สอง ทาง “ธรรมนัส พรหมเผ่า-พรรคกล้าธรรม” ก็คงขวางสุดตัว ไม่ยอมให้มาแตะโควตารมว.เกษตรฯ เช่นเดียวกับ “พรรคประชาธิปัตย์” (ปชป.) ทาง “เฉลิมชัย” ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็คงไม่ยอมให้มาแตะเก้าอี้รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯที่ตัวเองนั่งอยู่เช่นกัน ยกเว้นว่า ปรับแล้วได้ตำแหน่งใหม่ ที่พอสมน้ำสมเนื้อ เช่น รมว.แรงงาน ที่ “เฉลิมชัย” เคยเป็นรมว.แรงงานมาก่อน ถ้าแบบนี้ “ปชป.” อาจจะไม่โวยวาย
แต่จุดสำคัญอยู่ที่ “ทักษิณ” และ “แกนนำเพื่อไทย” คงมองว่า ทั้ง 2 สูตร หากยอมตามที่ “ภท.” เรียกร้อง-เสนอมา จะ “รวน” กันไปหมด เพียงเพื่อแลกกับ “มหาดไทย”
และทั้ง 2 สูตร “สส.เพื่อไทย” ก็คงไม่เห็นด้วย เพราะมองว่า “ภท.” ขอมากเกินไป โดยมองว่า แลก “มหาดไทย” กับ “สาธารณสุข” แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ใช่จะมาเอาทั้ง “สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยวฯ”
ทำให้ การปรับครม.ครั้งแรก ใน “รัฐบาลแพทองธาร” จาก “อิ๊งค์ 1” มาเป็น “อิ๊งค์ 1/1” คงต้องคุยกันหลายรอบ ทั้งในระดับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลและภายในพรรคเพื่อไทยกันเองว่า จะเอาอย่างไร
แต่ “ทักษิณ” ก็คงไม่ยอมให้ “ภท.” ต่อรองมากนัก หากคุยแล้วไม่จบ ก็อาจต้อง “งัดไม้แข็ง” แต่คง “ไม่ถึงขั้นแตกหัก” ปรับ “ภท.” ออกจากรัฐบาลแน่
และเชื่อว่า “ทักษิณ” คงต้องการให้คุยเรื่องปรับครม.ให้จบก่อน 13 มิ.ย. ที่ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนปมชั้น 14 เพราะคงกังวลใจพอสมควรกับการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ว่าจะออกมาแบบไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหรือไม่ หลังสัญญาณหลายอย่าง ดูจะไม่ค่อยดี
คาดว่า ก่อนถึงวันที่ 13 มิ.ย. การเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” คงถูกจับตามองแน่นอนว่า จะเอาอย่างไร แต่หลายคนก็เชื่อว่า “ทักษิณ” คงไม่หนีก่อน 13 มิ.ย.
เพราะตอนนี้ “ลูกสาวตัวเอง” เป็น นายกฯ เป็น “ประธาน ก.ตร.” คุมทัพสีกากี-ตำรวจ หาก “พ่อนายกฯ” ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย-หลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมาย ตัว “แพทองธาร” ที่ช่วงนี้ “เรตติ้งตกอย่างหนัก” โดนวิจารณ์เรื่อง “ไม่มีภาวะผู้นำ” อย่างรุนแรง จากสถานการณ์การเผชิญหน้ากันระหว่างไทย-กัมพูชา
ตัว “นายกฯอิ๊งค์” คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้า “ทักษิณ” หายตัวไป
ตรงนี้คือจุดที่ทำให้ “ทักษิณ” ต้องประเมินสถานการณ์ว่า จะเอาอย่างไร แบบวันต่อวัน!!!
โดยหากการปรับครม.คุยกันไม่จบก่อน 13 มิ.ย. แล้ววันที่ 13 มิ.ย. สถานการณ์ไม่เป็นใจกับ “ทักษิณ” ถ้าเป็นแบบนี้ บอกเลยว่า จะยิ่งทำให้ “อำนาจต่อรอง” ในการปรับครม.ของ “พรรคร่วมรัฐบาล” มีสูงขึ้น
มันจึงทำให้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” เลยต้องการคุยเรื่องปรับครม.ให้จบก่อน 13 มิ.ย.นั่นเอง
……………………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย… “พระจันทร์เสี้ยว”
