หน้าแรกCOLUMNISTSจับตา!!รัฐดัน‘เอเอ็มซี’แก้หนี้เสียรายย่อย ต่อ‘ลมหายใจลูกหนี้’ได้แค่ไหน?รอพิสูจน์

จับตา!!รัฐดัน‘เอเอ็มซี’แก้หนี้เสียรายย่อย ต่อ‘ลมหายใจลูกหนี้’ได้แค่ไหน?รอพิสูจน์

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศเดินหน้าแก้ “หนี้เสียรายย่อย” มูลหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยจัดตั้ง “บรรษัทบริหารสินทรัพย์” หรือ “เอเอ็มซี” เข้ามารับซื้อหนี้จาก “ธนาคารพาณิชย์-ธนาคารของรัฐ”

รวมไปถึงบรรดา “นอนแบงก์” ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ “แบงก์ชาติ” ที่เป็นบริษัทในเครือของสถาบันการเงิน และในอนาคต อาจหมายรวมไปถึงบรรดาลูกหนี้ของนอนแบงก์ทั่วไปอีกด้วย

มาตรการนี้อยู่ภายใต้โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่เป็นมาตรการเฉพาะกิจ ทำเพียงครั้งเดียว หวังต่อลมหายใจให้กับบรรดาลูกหนี้รายย่อย ที่มีหนี้เสียรวมกันแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท ให้เดินหน้าต่อไปได้

ในข้อเท็จจริงแล้วก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า “หนี้” อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน ตราบใดที่เงินในกระเป๋าไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เข้ามาทุกวัน ย่อมหนีไม่พ้นการเป็น “หนี้”

ด้วยเหตุนี้… นโยบายแก้หนี้!! จึงกลายเป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาล หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งนโยบาย “ประชานิยม” ที่ฝ่ายการเมืองได้นำมาเป็นนโยบายเรือธง ในการหาเสียงทุกครั้ง

หากจำกันได้ในยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ เรามักจะเห็นนโยบาย “แก้หนี้เกษตรกร” มาก่อนเป็นอันดับแรก แต่…หลังจากยุคโควิด-19 เป็นต้นมา การแก้หนี้ก็ได้ขยายวงกว้างไปยังประชาชนคนธรรมดาที่เดือดร้อน เป็นหนี้กันมากขึ้น

ซึ่งก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกัน เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โควิด ก็ทำให้เศรษฐกิจเสียหายไปไม่ใช่น้อย ผนวกเข้ากับปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และอีกสารพัดปัญหา

สุดท้าย!! เศรษฐกิจทุกประเทศ ก็รวน! ก็เซ! ก็ซบเซา! ไม้เว้นแต่ประเทศไทย ที่จีดีพี เติบโตต่ำกว่า 5% มานานหลายปีดีดัก แถม…ยังรั้งท้ายอาเซียน เข้าให้อีก

ในเมื่อเศรษฐกิจโตน้อย รายได้ก็ย่อมน้อย…ตามไปด้วย บางราย-บางธุรกิจ อาจติดลบ ปิดตัวตายไปแล้วก็มี เพราะปรับตัวไม่ทัน จึงไม่ต้องสงสัยใด ๆ เลยว่า ทำไม? คนไทยถึงเป็นหนี้กันมากขึ้น

โดยมีภาระหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 7.47 แสนบาท ต่อครัวเรือน โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคล สูงที่สุด ราว 39% รองลงมาคือ บัตรเครดิต 29% และหนี้อื่น ๆ

ดังนั้น การเปิดตัวโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” จึงเป็นความคาดหวัง และถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของรัฐบาลชุดนี้ ที่ในช่วง 4 เดือน จะพยายามดาคนไทยทั้งประเทศให้รอด!

ในระยะแรก ได้กำหนดให้เลือกแก้หนี้ ให้กับบรรดาลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และบริษัทในเครือ ที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านบัญชี หรือ 1.2 ล้านรายก่อน คิด ๆ รวมกันแล้วก็มีมูลหนี้รวมกันกว่า 43,600 ล้านบาท

แนวทางการทำงาน ก็ให้ “บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด” หรือ SAM เข้ามารับซื้อหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาชำระได้จริงและปิดหนี้ได้เร็วขึ้น

โดยตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.69 เป็นต้นไป กระบวนการแก้หนี้ก็จะเริ่มขึ้น โดยมี 2 ทางเลือก คือ 1.จ่ายปิดจบ : ชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชีทันที

หรือ 2.ผ่อนชำระเป็นงวด : ผ่อนได้สูงสุด 3 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยระหว่างอยู่ในมาตรการ หากลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไขครบ จะถือว่าหนี้ปิดจบและกลับมามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีขึ้นในเครดิตบูโรอีกครั้ง

แต่ถ้าเป็นลูกหนี้ของธนาคารของรัฐ หน้าที่ก็จะตกไปอยู่ที่ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ที่มี ธนาคารออมสิน เป็นผู้นำ จะรับโอนหนี้มาปรับโครงสร้างแบบผ่อนปรนเพิ่มเติมอีกกว่า 3.3 แสนบัญชี

รวม ๆ แล้วโครงการนี้ คาดว่าจะช่วยลูกหนี้รายย่อยได้มากถึง 1.9 ล้านบัญชีทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับว่า ก็เป็นการ “ต่อลมหายใจ” ให้ “ลูกหนี้เหล่านี้” หายใจได้สะดวกมากขึ้น

บรรดาสำนักวิจัยต่าง ๆ จะประเมินกันว่า โครงการแก้หนี้ของรัฐบาลชุดนี้ อาจช่วยลดภาระหนี้เสียในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ได้ประมาณ 1-2% แต่เมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนทั้งหมดของประเทศ ผลกระทบอาจอยู่เพียง 0.1–0.2%

ไม่เพียงเท่านี้ ปัญหาเรื่องของ “โมรัลด์ ฮาดซาร์ท” หรือการ “จงใจเบี้ยวหนี้” ก็อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่รัฐบาลต้องระมัดระวัง แม้การตั้งเงื่อนเวลาที่เป็นหนี้ไม่เกิน วันที่ 30 ก.ย.68 ที่ผ่านมา…ก็ตาม

ในอนาคต!! จะคาดหวังได้อย่างไรว่า สถานการณ์การจงใจเบี้ยวหนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะแทบเรียกได้ว่าเป็นการ “เสพติด” ทั้งฝ่ายนโยบาย และฝ่ายลูกหนี้ไปแล้ว

เอาเป็นว่า… ณ เวลานี้ ในเมื่อรัฐบาลเปิดโอกาสให้ “ลูกหนี้” สามารถ “หายใจ” ได้คล่องเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับ “ลูกหนี้” เองว่า จะพาตัวเองหลุดพ้นจากวังวนการเป็นหนี้ได้แค่ไหน? ก็ต้องรอพิสูจน์ กันต่อไป!

ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว…การแก้หนี้ที่ยั่งยืน ยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง

………………

คอลัมน์ : EC Focus by Virgo


- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img