หน้าแรกCOLUMNISTSจับตา“อนุทิน”ชิงยุบสภาหนี“ศึกซักฟอก” ฝ่า“ข้อครหา”....หนี“น้ำท่วม-ทิ้งแก้รธน.”

จับตา“อนุทิน”ชิงยุบสภาหนี“ศึกซักฟอก” ฝ่า“ข้อครหา”….หนี“น้ำท่วม-ทิ้งแก้รธน.”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

การเมืองไทยมักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อะไรที่ว่าแน่ ก็อาจไม่แน่ มักมีสถานการณ์ทำให้เกิดเหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นได้ตลอด เหมือนดังเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ซึ่งมีสถานะเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งใครก็รู้ว่า เข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้เอ็มโอเอที่ทำไว้กับ “พรรคประชาชน” (ปชน.)

โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องผลักดันกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) และยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน

แต่เมื่อ “พรรคสีน้ำเงิน” เข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาล กลับช่วยสร้างกระแสความนิยมให้กับ “ภท.” ทำให้บรรดา “นักการเมืองบ้านใหญ่” จากหลายค่าย สส.อีกหลายพรรค ต่างทยอยเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคสีน้ำเงิน แบบหัวกระไดไม่แห้ง

เพราะมั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า “ภท.” จะได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีก อีกทั้งยังถูกยกให้เป็น “ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม” มี “ผู้มากบารมี” คอยให้การสนับสนุน

โดยตั้งเป้าจะได้ สส.ประมาณ 150 คน แม้กระทั่งในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมี สส.รวมทั้งหมด 54 ที่นั่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยึดครองมาโดยตลอด แต่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกฯ และรมว.คมนาคม ในฐานะแกนนำคนสำคัญของ ภท. ซึ่งรับบท “แม่ทัพภาคใต้” ยังตั้งเป้าหวังได้ สส.ในพื้นที่ด้ามขวานทอง 30 คน

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 23 พ.ย.68  ระหว่างที่ “ภท.” จัดประชุมใหญ่ มีการเปิดตัวบรรดา “บ้านใหญ่” เช่น บ้านใหญ่สุพรรณบุรี นำโดย “วราวุธ ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) บ้านใหญ่ระยอง และ บ้านใหญ่เพชรบุรี เรียกว่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก

แต่ผ่านไปเพียงวันเดียว ก็เกิดเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นใน จ.สงขลา โดยเฉพาะในพื้นที่อ.หาดใหญ่ ปริมาณน้ำเต็มทุกพื้นที่ บางจุดมวลน้ำสูงเกือบ 4 เมตร สร้างความเสียหายหนักมาก ในรอบหลายสิบปี จนถูกขนานนามว่า “มหาอุทกภัย” และถูกตั้งคำถามว่า…ทำไมไมมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า

มีเสียงวิจารณ์ถึงการทำงานของ “นายกฯ แป้น-ณรงค์พร ณ พัทลุง” นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ หลังออกมาส่งสัญญาณผิดทำนองว่า สามารถดูแลปริมาณน้ำได้ ยืนยันว่า “เอาอยู่” แต่ในที่สุดก็คาดการณ์ผิด ที่หนักกว่านั้น มีผู้เสียชีวิตจากเหตุมหาอุทกภัยครั้งนี้เกินกว่า 100 คน ส่งผลกระทบครอบคลุม 16 อำเภอ 127 ตำบล 992 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 1.3 ล้านคน ต้องอพยพ 42,472 คน

แม้ “อนุทิน” จะแสดงภาวะความเป็น“ผู้นำ” โดยรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงการแก้ไขปัญหา เพราะแทนที่“หัวหน้ารัฐบาล” จะขอเล่นบทเป็นคนคุมการบัญชาการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง กลับแต่งตั้งให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รองนายกฯและรมว.เกษตรและสหกรณ์ มารับหน้าเสื่อ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติ และยังตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.ส่วนหน้า) โดยให้ “พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์” ผบ.ทหารสูงสุด (ทสส.) เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อบูรณาการกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรจากเหล่าทัพ ส่วนราชการ และเอกชนเข้าไว้ด้วยกัน

จนถูกวิจารณ์ว่า มีความซ้ำซ้อนกัน แต่จุดชี้ขาดที่จะทำให้ “หัวหน้ารัฐบาล” กู้คะแนนการยอมรับกลับมาได้ คือการชดเชยเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้ความเสียหาย ซึ่งต้องทำอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

นอกจากนี้ ยังมีผลโพล 2 สำนัก ที่พบว่า คะแนนนิยม “อนุทิน” และ “ภท.” ดิ่งลง โดย “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,208 คน  ระหว่างวันที่ 25-28 พ.ย.68 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนพ.ย.68 เฉลี่ย 3.90 คะแนน ลดลงจาก ต.ค.68 ที่ได้ 4.02 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 4.46 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ การแก้ปัญหาความยากจน 3.44 คะแนน

ด้านนักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่น พบว่า ฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีใครผลงานโดดเด่น ร้อยละ 57.34 รองลงมาคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ร้อยละ 23.46 ด้านฝ่ายค้านคือ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ร้อยละ 39.49 รองลงมาคือ “รักชนก ศรีนอก” ร้อยละ 31.97 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือนคือ คนละครึ่งพลัส ร้อยละ 39.51 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือนคือ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.72

“ดร.พรพรรณ บัวทอง” ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนนี้ โดยรวมปรับลดลง แม้มาตรการคนละครึ่งพลัส จะช่วยพยุงคะแนนรัฐบาลจากการบรรเทาค่าครองชีพ แต่กลับไม่สามารถยกระดับคะแนนผลงานของนายกฯ ได้ เพราะเหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการที่ยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน

ขณะที่ฝั่งฝ่ายค้าน แม้ดัชนีภาพรวมจะลดลงเช่นกัน แต่คะแนนนักการเมืองของนายณัฐพงษ์ปรับเพิ่มขึ้น หลังการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ และบทบาทเชิงรุกในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย น้ำท่วมครั้งนี้ จึงไม่เพียงสร้างความเสียหายให้ประชาชน หากแต่ยังซัดกระทบคะแนนนิยมของรัฐบาล อย่างมีนัยสำคัญด้วย

ส่วนศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “กระแสการเมือง ภาคใต้” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 18-24 พ.ย.68 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคใต้ จำนวน 14 จังหวัด รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับกระแสการเมืองภาคใต้ จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนใต้จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 32.25 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 2 ร้อยละ 25.65 ระบุว่าเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” (พรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 3 ร้อยละ 15.40 ระบุว่าเป็น “อนุทิน ชาญวีรกูล” (พรรคภูมิใจไทย) อันดับ 4 ร้อยละ 12.85 ระบุว่าเป็น “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” (พรรคประชาชน) อันดับ 5 ร้อยละ 2.50 ระบุว่าเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่คนใต้จะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 28.60 ระบุว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 2 ร้อยละ 28.45 ระบุว่ายังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 17.80 ระบุว่าเป็นพรรคประชาชน อันดับ 4 ร้อยละ 11.65 ระบุว่าเป็นพรรคภูมิใจไทย อันดับ 5 ร้อยละ 3.90 ระบุว่า เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ

คงต้องรอดูการสำรวจในรอบถัดไป ของ “ดุสิตโพล” และ “นิด้าโพล” ว่า คะแนนนิยมของ “อนุทิน-ภท.” จะดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่

อย่าลืมว่า เหลืออีกเวลาอีกไม่เดือน จะเข้าสู่โหมดหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่ง “พรรคสีน้ำเงิน” หมายมั่นปั้นมือ จะกลับมายึดครองอำนาจรัฐใหม่ แต่ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้านอย่าง “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ตั้งใจจะนำปัญหาการรับมือกับมหาอุทกภัย ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อหวังเปิดแผลพรรคแกนนำรัฐบาล ต้องการดึงคะแนนนิยมให้ลดลง หลังหลายคนคาดการณ์ว่า หลังการเลือกตั้งจำนวน สส.ของพรรคสีแดง จะได้เพียง 70 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคขนาดกลาง หลังก่อนหน้านี้ได้ สส.มาเป็นอันดับ 1 ตลอด แต่เพิ่งมาพ่ายแพ้ให้ “พรรคก้าวไกล” (ก.ก.) ในการเลือกตั้งเมื่อปี 66  

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดปัญหามหาอุทกภัย ทำให้ “พท.” ต้องปรับยุทธศาสตร์ ชะลอการยื่นซักฟอก โดยเกรงว่า กระแสจะตีกลับ เพราะในขณะที่รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากมหาอุทกภัย กลายเป็นว่า “ฝ่ายค้าน” มุ่งแต่ผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน

“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้า พท. ตอบคำถามถึงรายงานข่าวว่า พท. จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลังวันที่ 11 ธ.ค.ว่า เป็นข่าวที่ไม่มีกระบวนการออกจากพรรค การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาคุยในนาทีนี้ กระบวนการตรวจสอบของพรรคไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด และติดตามการทำงานของรัฐบาล เรื่องการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ฉะนั้นเรารวบรวมประเด็นทั้งหมดอยู่

“การติดตามตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กระบวนการพูดคุยการยื่น หรือไม่ยื่นญัตติ ในช่วงนี้ขออนุญาตยังไม่พูดคุย เพราะเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม รัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขน้ำท่วม อยากให้เขาได้มีสติ-สมาธิ กลับไปทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้สมบูรณ์กว่านี้อย่างเต็มที่ รอฟังว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจะคืบหน้าอย่างไร ค่อยมาคุยกันหลังจากนั้น” หัวหน้า พท. กล่าว

ส่วน “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พท. ในฐานะ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่าง รธน. ให้ความเห็นถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า จะยื่นหลังจากการอภิปราย รธน.วาระ 2 ในวันที่ 10-11 ธ.ค.นี้ แต่จะเป็นช่วงเวลาใด ต้องรอให้คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พท. หารือกับคณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์พรรค ก่อนให้ที่ประชุมพรรคตัดสิน ส่วนตัวมองว่า ควรยื่นซักฟอกหลังจากการแก้ รธน.ในวาระ 3 เสร็จสิ้นแล้ว โดยหลังจากแก้ รธน.วาระ 2 เสร็จ ในวันที่ 11 ธ.ค.แล้วจะต้องทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อโหวตวาระ 3 ในวันที่ 26 ธ.ค. ดังนั้นน่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ช่วงต้นปี 69 “พท.” จะได้ไม่ถูกครหา เตะถ่วงแก้ รธน. เพราะยื่นหลัง รธน.ลงมติในวาระ 3 แล้ว ระยะเวลาการยื่นอภิปรายห่างจากการลงมติ รธน.วาระ 2 แค่ 10 กว่าวัน ไม่แตกต่างกันมาก

ส่วนประเด็นที่จะยื่นอภิปรายนั้น จะนำเรื่องการบริหารจัดการน้ำท่วมภาคใต้ที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เป็นหนึ่งในเรื่องหลัก แม้จะไม่มีใครคาดถึงว่า น้ำท่วมรอบนี้จะมีความรุนแรง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีผู้นำที่อ่อนแอถึงเพียงนี้ แก้ปัญหาเหมือนเด็กเล่นขายของ ทำงานไม่เป็น จะทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อนำไปรวมกับเรื่องความล้มเหลวแก้ปัญหาสแกมเมอร์ และปัญหาชายแดน

ต้องยอมรับว่า หลังเปิดสมัยประชุมสภาฯ “อนุทิน” มีความเสี่ยง ที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ตลอด ถ้าพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติเมื่อใด รัฐบาลไม่สามารถยุบสภาฯ ได้ และจะสร้างแรงกดดันให้ “ปชน.” หากต้องออกเสียงไว้วางใจหัวหน้ารัฐบาล จะถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายค้ำ” เว้นเสียแต่ “พท.” ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังร่างแก้ไข รธน.ผ่านวาระที่ 3 ซึ่งเท่ากับเป็นไปตามความต้องการของ “พรรคสีส้ม” แล้ว 

ดังนั้นจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่า รัฐบาลจะยุบสภาฯ หรือไม่ ยิ่งรัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการเยียวยาและฟื้นฟู พื้นที่ที่เจอมหาอุทกภัย ถ้าหากตัดสินใจยุบสภาฯ ในช่วงนี้ จะกลายเป็นว่า ทิ้งประชาชน-ทิ้งการแก้ไขปัญหา และเป็นต้นเหตุทำให้ร่างแก้ไข รธน.ต้องตกไป กลายเป็นจุดอ่อนถูกโจมตีในสนามเลือกตั้ง

ขณะที่มีข่าวปล่อยออกมา มีการพบกันระหว่าง “แกนนำ ภท.” กับ “แกนนำ พท.” และมีข้อสรุปตกลงกันว่า “นายกฯอนุทิน” จะยุบสภาฯในวันที่ 12 ธ.ค. 

นั่นหมายความว่า ทั้งสองฝ่าย…อาจหวังเป็น “พันธมิตรทางการเมือง” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยใช้สูตรจัดตั้งรัฐบาลประกอบด้วย “ภูมิใจไทย+เพื่อไทย+กล้าธรรม” เพื่อโดดเดี่ยว “พรรคสีส้ม” แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตผลใด คงต้องยอมรับ ผลที่ได้หาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ตัดสินใจยุบสภาฯ คงต้องบอกว่า ต้องเผชิญผลลัพธ์ในแง่ลบ มากกว่าด้านบวก

……………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img