ท่ามกลางโลกที่ผันผวน ความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่รุนแรง ภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้เวที “The Annual Petroleum Outlook Forum ปี 2025” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ภายใต้หัวข้อ “Shaping the Future in an Uncertainty World through Sustainable Pathway : ร่วมกำหนดทิศทาง ข้ามผ่านยุคท้าทาย ด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ซึ่งมีหลายภาคส่วนมาช่วยแชร์มุมมอง
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระบุว่า The Annual Petroleum Outlook Forum เป็นความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่ม ปตท. ซึ่งเวทีนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 เพื่อเสนอบทวิเคราะห์ และแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมัน โดยทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. หรือ “PRISM Experts” เป็นเวทีแห่งการแบ่งปันข้อมูล แลกเปลี่ยนมุมมองจากภาครัฐ และเอกชน ซึ่งปีนี้สถานการณ์พลังงานของโลกในปัจจุบัน กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนในการปรับตัว เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด

“ดร.คงกระพัน” คาดการณ์ว่า สถานการณ์ราคาพลังงานในปี 2569 ว่า ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (ทีม PRISM Experts) ได้คาดการณ์ไว้ว่า สถานการณ์ราคาพลังงานในปี 2569 เคลื่อนไหวไม่แรงนักอยู่ในกรอบ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจัยที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสองด้าน ทั้งจากอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอ เพราะผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ประกอบกับอุปทานจากประเทศกลุ่ม OPEC+ และ Non-OPEC+ ที่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปทานล้นตลาด
ทั้งนี้ปีหน้าและระยะยาว ประเด็นผลกระทบที่มีความสำคัญและถูกพูดถึงมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทีม PRISM Experts มองว่า ประเทศต่าง ๆ จะเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ซึ่งไทยเองได้ปรับเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น จากปีพ.ศ.2608 เป็น 2593 ตั้งเป้าพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% มีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการเปลี่ยนผ่าน ควบคู่ไปกับ โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ในการช่วยลดคาร์บอนที่จะมาเป็น “พระเอก” และการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ทั้ง Hydrogen และนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน คือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้พลังงานฟอสซิลและการส่งเสริมพลังงานสะอาด เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและรองรับการเติบโตในอนาคต

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มาร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีนี้ด้วย ได้ย้ำถึงความสำคัญที่ไทยต้องมีกฎหมายมาจัดการกับประเด็นโลกร้อน ซึ่งล่าสุด ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ….ได้ผ่านการพิจารณาของครม.แล้วเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา จากนั้นจะนำไปสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และขั้นตอนของรัฐสภาก่อนบังคับใช้ต่อไป แม้จะเร่งด่วนแต่กฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ทันสภาฯ สมัยนี้ คาดว่าน่าจะเข้าสภาฯ ไตรมาส 3 ปี 2569
ความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้เพื่อมารองรับกลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ว่าจะเป็นการตั้งกองทุนภูมิอากาศ และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชน ที่สำคัญคือรองรับกลไกที่จะมาสนับสนุนโครงการ CCS ให้เดินหน้าได้
ส่วน SMR จะเกิดได้จริงหรือไม่ งานนี้ ดร.พิรุณ เป็นอีกคนที่เชียร์เต็มที่ โดยระบุว่าไม่ใช่เป็นทางเลือก “แต่ไม่เกิดไม่ได้” เพราะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน โดยได้เสนอสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ต้องกำหนด SMR เป็นเป้าหมายในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย เขาย้ำว่า ก็อาจเห็น SMR แห่งแรกเกิดที่กัมพูชา !
อีกช่วงของเวที “The Annual Petroleum Outlook Forum ปี 2025” ที่หลายคนนั่งฟังกันอย่างตั้งใจดูจะเป็นบทบรรยายจาก ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ “Shifting Tides : Navigating Economic Trends in Global, Asia and Thailand” ที่ทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพใหญ่ และตื่นจากภวังค์ได้

แม้ท่าทางของ “ดร.กอบศักดิ์” ที่มาเล่าบนเวทีแบบสบาย ๆ แต่สาระสำคัญหนักหน่วง “ความท้าทายครั้งนี้ไม่ธรรมดา หนักใจที่สุดในรอบหลายปี มีปัจจัยที่ไม่ปกติที่ทุกคนต้องเตรียมการให้ดี” เพราะ “โลกไม่เหมือนเดิมแล้วเมื่อเทียบ 1 ปีก่อน” เป็นประโยคที่ปลุกให้หลายคนต้องแอ็กชันอะไรบางอย่าง
มีหลายด้านการเปลี่ยนแปลงที่ไทยต้องตั้งรับ ปัจจัยแรกมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไทยจีนเป็นพี่น้องกัน” ดูอบอุ่นแต่แฝงนัยสำคัญ “ดร.กอบศักดิ์” ย้ำว่าไม่ใช่แค่สินค้าจากจีนจะทะลักมาไทยเท่านั้น แต่จีนจะส่งออกโรงงานมาไทยด้วย หมายถึงย้ายโรงงานมาตั้งในไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อลดกระทบจากวิกฤติในประเทศ จากการที่ไม่มีความต้องการในประเทศ และสหรัฐฯ ก็ไม่ซื้อสินค้า
ปัจจัยที่สองมาจากความผันผวนที่ทำให้การจัดการการเงินยากขึ้น ทั้งจากสภาพคล่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจอ่อนกว่านี้อีก ราคาทองคำที่ผันผวนในทางลดลง บิตคอยน์ที่สักวันต้องถึงจุดแตก ปัจจัยที่สามจากภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าเดิม ปัจจัยที่สี่มาจากการต่อสู้กันของ 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ และจีนที่จะแข่งขันในทุกด้านโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ส่งผลให้การพัฒนาเทคโนโลยีของโลกก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วแบบกระพริบตาก็เปลี่ยนรุ่น ทั้ง AI ,Humanoid Robots และ Quantum Chip โดยเฉพาะ Robots ที่จะมาเปลี่ยนโลกในระยะ 2-3 ปีนี้ ปัจจัยที่ห้าน่าห่วงที่สุดไม่ใช่แค่ Climate Change และกำหนดเป้าหมายไปที่ Net Zero แต่ต้องคิดเรื่องปรากฎการณ์ Rain Bomb (ระเบิดฝน) ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ และเกิดฉับพลันด้วยแบบหาดใหญ่ ซึ่งต้องประเมินว่าจะเกิดที่ไหนได้บ้าง
ดูจะมีแต่สถานการณ์ลบ แต่ดร.กอบศักดิ์ ให้มองบวกไว้คู่กันเพราะการสู้กันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีนอย่างเท่าเทียมในยุคนี้ แม้ว่ามีนักวิชาการระดับโลกคาดการณ์ว่าอาจเสี่ยงต่อสงครามจริง ๆ แต่อาเซียนจะได้รับผลดีจากการสู้กันของ 2 มหาอำนาจ ที่ต่างจะมาใช้ประเทศแถบนี้เป็นฐาน ทั้ง EV HUB และ HUB ของอุตสาหกรรมผลิตชิปที่มีความสำคัญในโลกที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ดังนั้นการลงทุนของต่างชาติในไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ จะเป็นไปอย่างคึกคักมากขึ้นหลังจากนี้ และเราจะได้เห็นอาเซียนใหม่ภายในปี 2593 จากขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก หรือราว 6.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเมืองของประเทศต่าง ๆ ที่จะเปลี่ยนภาพไป อาจมีอะไรที่ซ้อนอยู่ในความทันสมัยนั้น เรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องมองให้ทะลุ และหาทางตั้งรับ เพื่อให้รอดไปกับคนรุ่นลูกหลานของเรา
ในยุค never normal เมื่อโลกไม่ปกติอีกต่อไปแบบนี้ สิ่งสำคัญที่ “ดร.กอบศักดิ” ฝากไว้เป็นการบ้านของทุกคน ก็คือ เราต้องพูดความจริง จึงจะเห็นทางออก ต้องตัดสินใจและทำทันที ส่วนเรื่องที่ต้องทำมี 2 เรื่องใหญ่ ประกอบด้วย 1.หาวิธีปกป้องตนเองจากความผันผวน และ 2.หาโอกาสจากความผันผวนมาทำให้เกิดประโยชน์
บทสรุปของน้ำท่วมหาดใหญ่คราวนี้ ตอกย้ำให้ทุกคนเห็นภาพชัดของโลกยุค Never Normal และยอมรับว่า โลกเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน รุนแรง สร้างความเสียหาย และทุกคนสามารถกลายเป็นผู้ประสบภัยได้ทุกเมื่อ
สิ่งสำคัญ คือ “ความยืดหยุ่น” รับมือได้กับทุกการเปลี่ยนแปลง และสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาส “ต้องก้าวข้ามไปยังอีกฝั่งก่อนที่น้ำจะเชี่ยวกรากจนข้ามไปไม่ได้”
…………………………………
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน)




















