ศึกเลือกตั้ง 2569 เห็นชัดว่า เก้าอี้ สส. 500 คน จะเป็นการช่วงชิงกันของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ คือ “พรรคภูมิใจไทย (พรรคแกนนำรัฐบาลในช่วงรัฐบาลรักษาการ)-พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย”
โดยจะมีพรรคการเมืองอื่น เข้ามาสอดแทรกรอชิงเก้าอี้ สส.เขตบางจังหวัดและแชร์เก้าอี้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์อีกบางส่วน เช่น “พรรคกล้าธรรม-พรรคประชาธิปัตย์” ขณะเดียวกันก็มีพรรคตั้งใหม่เกิดขึ้นในสนามรอบนี้เช่น พรรคไทยก้าวใหม่ นำโดย “ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”, พรรครักชาติ นำโดย “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” อดีตรมว.ดิจิทัลฯ, พรรคโอกาสใหม่ นำโดย “จตุพร บุรุษพัฒน์” อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีตปลัดก.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นต้น
หากดูจากหน้างานตอนนี้ ที่อยู่ระหว่างการรอประกาศวันเลือกตั้งสส.จาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะต้องประกาศภายในไม่เกินห้าวันหลังยุบสภาฯ 12 ธ.ค. ที่ก็คือต้องภายในพุธนี้ 17 ธ.ค. ภายใต้เงื่อนไขคือ ต้องจัดเลือกตั้งภายในกรอบ 45-60 วัน หลังยุบสภาฯ แต่จากเงื่อนไขการศึกสงครามไทย-กัมพูชา ก็เริ่มมีการโยนหินถามทางให้ กกต.ขยับเวลาวันเลือกตั้งออกไปได้อีก เพราะรัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ตาม มาตรา 104 ที่ระบุว่า “หากมีเหตุจำเป็น กกต.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เหตุนั้นสิ้นสุดลง”
แต่ก็อาจมีข้อทักท้วงว่า การสิ้นสุดลงดังกล่าว ดูจากอะไร หากไม่กำหนดวันเลือกตั้งออกมา จะทำให้ “รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” อยู่ยาวเกินไป
จึงต้องรอวัดใจกันว่า กกต.จะเอาด้วยหรือไม่ กับการขยับวันเลือกตั้งออกไป ไม่ต้องอยู่ในล็อก 45-60 วัน หรือจะใช้วิธีประกาศวันเลือกตั้งทั่วประเทศไปก่อน จากนั้นค่อยไปดูช่วงใกล้วันเลือกตั้ง หากจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดนได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่น สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว ตราด อุบลราชธานี กกต.ถึงค่อยเลื่อนวันเลือกตั้งในจังหวัดที่มีปัญหาการจัดเลือกตั้งออกไป ซึ่งความชัดเจนก็จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินกลางสัปดาห์นี้

สำหรับสนามเลือกตั้ง 2569 พรรคการเมืองที่มีความพร้อมมากที่สุด ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน นั่นก็คือ “พรรคสีน้ำเงิน-ภูมิใจไทย” เพราะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเวลานี้ กุมกลไกอำนาจรัฐที่สำคัญ เช่น กระทรวงมหาดไทย-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการจัดทัพ วางตำแหน่งหลัก ๆ ไว้หมดแล้วก่อนยุบสภาฯ เช่น ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ
อีกทั้งแวดวงการเมือง ก็กล่าวขานกันอื้ออึง ว่า “7 เสือ กกต.” ก็มีบางคนมีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคสีน้ำเงิน ขณะเดียวกัน การเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคใหญ่ ก็ทำให้ “ทุนการเมือง” ย่อมให้ความสำคัญ ให้น้ำหนัก ในการจะเข้าไปช่วยสนับสนุนซับพอร์ตพรรคสีน้ำเงิน ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย โดยเฉพาะ การสนับสนุนทางลับ แบบช่วยกัน ไม่ใช่การบริจาคให้พรรคอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้ ที่เชื่อว่ารอบนี้ ทุนหลายราย จะวิ่งเข้าพรรคภูมิใจไทยกันจำนวนมากในลักษณะการช่วยแบบซื้อใจ เพื่อหนุนให้ภูมิใจไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหลังเลือกตั้ง
ผนวกกับผลงานการเป็นรัฐบาล แม้จะเป็นรัฐบาลช่วงสั้น ๆ แต่ก็มีหลายเรื่องโดนใจคน เช่น นโยบายคนละครึ่งพลัสเฟสหนึ่ง ที่มีคนลงทะเบียน 20 ล้านคนภายในไม่กี่ชั่วโมง และมีร้านค้าตอบรับเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก จนทำให้ช่วงที่ผ่านมา ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง และแน่นอนว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “ภูมิใจไทย” ก็จะต้องเอาความสำเร็จนี้ไปต่อยอดหาเสียงเลือกตั้งเพื่อบอกว่า หากเลือกภูมิใจไทยกลับมาเป็นรัฐบาล คนละครึ่งเกิดอีกแน่ ยิ่งหากสุดท้าย สามารถทำให้คนละครึ่งเฟสสอง เดินต่อได้ในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า โดย กกต.ไฟเขียวให้ทำต่อได้ แบบนี้ ภูมิใจไทยตีปีกแน่
และยังปัจจัยเรื่อง “กลุ่มการเมืองต่างๆ” ที่ตบเท้าเข้าพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยหลายกลุ่ม เป็นกลุ่มการเมืองระดับเกรดเอ ที่มีโอกาสจะชนะเลือกตั้งภายในจังหวัดสูง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านใหญ่จังหวัดต่าง ๆ
ล่าสุด ก็จะเป็น “กลุ่มสุพรรณบุรี” นำโดย “วราวุธ ศิลปอาชา” อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมด้วยอดีตสส.สุพรรณบุรี และแกนนำชาติไทยพัฒนา อาทิ “ประภัตร โพธสุธน” อดีตเลขาธิการพรรค “สรชัด สุจิตต์-นพดล มาตรศรี-ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ-เสมอกัน เที่ยงธรรม” รวมถึงอดีต สส.นครปฐม “กลุ่มบ้านใหญ่สะสมทรัพย์” คือ “พาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์-อนุชา สะสมทรัพย์” และ “ศุภโชค ศรีสุขจร” อดีต สส.นครปฐม และ “อนุรักษ์ จุรีมาศ” อดีต สส.ร้อยเอ็ดก็จะไปเปิดตัวเข้าภูมิใจไทย จันทร์นี้ 15 ธ.ค.
ทำให้ตอนนี้ “ภูมิใจไทย” ถือว่า รวมกลุ่มการเมือง-อดีตสส.ชุดที่แล้ว ไว้ได้ค่อนข้างมาก ทำให้มีลุ้นสู้กับ “พรรคประชาชน” ได้

อย่างไรก็ตาม “จุดอ่อน” ของ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ดูแล้วอาจยังแก้ไม่ตก ก็คือ พื้นที่ “กรุงเทพมหานคร” ที่มี สส.เขตมากถึง 33 เขต ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่มีตัวแข็งพอที่จะไปสู้กับพรรคประชาชนได้ แม้เลือกตั้งที่จะมีขึ้น จะดัน “เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” อดีตเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ-อดีตรมว.อุตสาหกรรม มาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเลือกตั้ง กทม.ให้ภูมิใจไทย
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “เอกนัฎ” เองก็เคยสอบตก ตอนลงสส.เขตกทม.ปี 2562 สมัยอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และตอนเลือกตั้งปี 2566 พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่ได้ สส.เขตกทม.แม้แต่คนเดียว และจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่พบว่า ภูมิใจไทยจะมีตัวแข็ง ๆ ไปลงสมัคร สส.เขต กทม.เลย อีกทั้งภูมิใจไทยก็ไม่มีฐานเสียงในกทม.ที่แข็งแรงพอ
หาก “พรรคภูมิใจไทย” ไม่ได้ สส.เขตกทม.เลย ก็มีสิทธิ์สูงที่จะแพ้ “พรรคประชาชน” ในการเลือกตั้งรอบนี้
เพราะเลือกตั้งที่ผ่านมา สมัยเป็นพรรคก้าวไกล ได้ สส.กทม.ไปถึง 32 จาก 33 เขต เกือบยก กทม. ซึ่งแม้ต่อให้กระแสพรรคส้มใน กทม.อาจไม่ปังเหมือนปี 2566 แต่ยังไงก็น่าจะกวาด สส.เขต กทม.ได้แบบเป็นกอบเป็นกำ เป็นแชมป์กทม.ได้อีกหนึ่งสมัย รวมถึงพรรคภูมิใจไทย ก็มีปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ก็ยังไม่สามารถเจาะได้ในการเลือกตั้งปี 2566 ทำให้หากพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ สส.เขตที่กทม.และภาคเหนือเลย โอกาสจะชนะพรรคประชาชน ก็มีน้อย
รวมถึงอีกจุดอ่อนของภูมิใจไทยคือ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ เห็นได้จากเลือกตั้งปี 2566 ที่พรรคได้ สส.71 คน แต่ปรากฏว่า ได้สส.ปาร์ตี้ลิสต์ แค่ 3 คน นอกนั้นเป็น สส.เขต 68 คน ถือว่าไม่สมสัดส่วนอย่างยิ่ง ขณะที่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ คือจุดแข็งของพรรคส้มและพรรคแดง (เพื่อไทย)
ทั้งนี้ หาก “ภูมิใจไทย” ไม่ได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์เกิน 10 คนก็ทำให้โอกาสชนะพรรคประชาชน ก็ยากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การที่ “อนุทิน” เปิดชื่อ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นแคนดิเดตนายกฯของ “ภูมิใจไทย” แม้ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากทั้งสองคน ว่าตอบรับหรือไม่ แต่หากตอบรับ ชื่อของ “เอกนิติ-ศุภจี” ก็สามารถช่วยดึงคะแนนเสียงในปาร์ตี้ลิสต์ให้ “ภูมิใจไทย” ได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะจากกลุ่มชนชั้นกลางและใน กทม.ด้วย
เป้าหมายชนะการเลือกตั้งของ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” จะสำเร็จได้หรือไม่ ก็อยู่ที่การ “แก้ปัญหาจุดอ่อนข้างต้น” หากทำได้หรือแก้ได้บางส่วน โอกาสจะเบียดสู้กับพรรคประชาชน ก็พอมี แต่หากแก้ไม่ได้ ก็อาจกลายเป็นพรรคอันดับสอง หลังเลือกตั้ง และทำให้พรรคประชาชนมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้ก่อน แต่จะสำเร็จหรือไม่ ยังต้องรอดู
……………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”



















