ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองไทย สะท้อนความวิปริตเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศถอยหลัง ทั้งเศรษฐกิจและการขาดความเชื่อมั่นของประชาชน
“ความวิปริต” นี้ ไม่ได้เกิดจากความเห็นต่างตามปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่เกิดจาก “การบิดเบือนกติกา” เพื่อ “คงอำนาจ” ของ “คนบางกลุ่ม”
ตัวอย่างชัดเจนคือ วงจรรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ที่ถูกอธิบายว่า เป็นทางออกของความขัดแย้ง แต่ในทางปฏิบัติ กลับเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมปัญหาเดิม ๆ การยุบพรรคและการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของนักการเมืองจำนวนมาก กลายเป็นเครื่องมือ “การจัดระเบียบอำนาจ” มากกว่าการรักษาหลักนิติรัฐ
อีกทั้งการขาดความต่อเนื่องของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไร้เสถียรภาพ หลายครั้งอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ทำให้พรรคการเมืองต้องไป “สมคบ” กับ “อำนาจนอกระบบ” ที่มี “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” เป็นแกนหลัก

ความขัดแย้งล่าสุดของพรรคการเมืองที่ฝ่ายอนุรักษ์หนุนหลัง มี “พรรคภูมิใจไทย” เป็นตัวแทนกับ “พรรคประชาชน” กรณีร่างรัฐธรรมนูญ ถึงขั้น “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาฯ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งที่แต่เดิม จะยุบภายในวันที่ 31 มกราคมปีหน้า
“รัฐบาลอนุทิน” บริหารประเทศได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนมกราคม หรือต้นกุมภาพันธ์ ปีหน้า กว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานจริงจัง อาจจะราว ๆ เดือนพฤษภาคม 2569 หรือเกือบ ๆ กลางปี “รัฐบาลอนุทิน” อาจจะต้องรักษาการราว ๆ 6 เดือน ในกรณีที่ไม่มีอุบัติเหตุ เช่น สงครามชายแดนไทย-เขมร รุนแรงขึ้น จนใช้อ้างเลื่อนการเลือกตั้ง
ต้องบอกว่า เป็นการยุบสภาฯ ในยามที่ประเทศอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน บริหารโดย “รัฐบาลรักษาการ” จึงเป็นเรื่องที่ “น่าเป็นห่วงอย่างมาก” ซึ่งอำนาจรัฐบาลรักษาการจะถูกจำกัดในข้อกฏหมาย ทำได้เฉพาะในที่กฏหมายไม่ห้าม สิ่งใดที่กฏหมายห้ามก็ทำไม่ได้ เรียกว่า ทำงานได้ไม่เต็มร้อยเหมือนรัฐบาลปกติ
อย่างปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วง แม้นายกรัฐมนตรีรักษาการและรัฐมนตรีกลาโหมจะยังคงมีอำนาจเต็มในการ “สั่งใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศ” ซึ่งเป็นการปกป้องอธิปไตยเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐที่ไม่สามารถหยุดชะงักได้ รัฐบาลรักษาการสามารถสั่งตอบโต้ทางทหาร สั่งอพยพประชาชน หรือประกาศพื้นที่ภัยพิบัติได้ทันที
แต่ “รัฐบาลรักษาการ” ก็ไม่มีอำนาจลงนามสนธิสัญญาสันติภาพถาวร หรือข้อตกลงเขตแดนใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีผลผูกพันรัฐบาลชุดต่อไป ต้องรอรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็ม
อีกเรื่องที่น่าห่วงคือ การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังคาราคาซัง แม้ว่าการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ ยังคงทำต่อได้ แต่ในส่วน “อำนาจตัดสินใจ” รัฐบาลรักษาการไม่สามารถลงนามในข้อตกลงทางการค้า ที่มีผลผูกพันทางกฎหมายได้ เพราะถือเป็นการสร้างภาระผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แนวโน้มสหรัฐฯ คงจะชะลอการตัดสินใจออกไปก่อนรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อยจะได้คุยกับรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มและมีเสถียรภาพ
ดังนั้น“ดีลภาษี” อาจต้องถูกดองไว้ จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง ซึ่งจะ ส่งผลกระทบกับการส่งออกไทย ที่เป็นรายได้หลักของประเทศโดยตรง เพราะตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย และไทยก็ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ มาโดยตลอด สินค้าที่ส่งออกไป มีตั้งแต่สินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงสินค้าเกษตรแปรรูป เรื่องนี้สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องของความมั่นคง

อีกเรื่องที่น่าห่วงคือ “พ.ร.บ.โลกร้อน” ที่เพิ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปหมาด ๆ อีกไม่นานก็จะยื่นให้สภาฯ พิจารณา ต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ซึ่งจะส่งผลเสีย ไม่เฉพาะสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรป (อียู) เนื่องจากสหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM ซึ่งเป็นมาตรการภาษีทางอ้อมที่สหภาพยุโรปใช้เป็นมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมของตน และบีบบังคับให้คู่ค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
หากประเทศต้นทางไม่มีระบบกฏหมายคาร์บอนที่ชัดเจน ไม่มีกลไกการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ สินค้าจะถูกประเมินความเสี่ยงสูงและต้องแบกภาระต้นทุนคาร์บอนจนเต็มเพดานที่กำหนด การที่พ.ร.บ.โลกร้อนล่าช้า จึงทำให้ไทยขาดโอกาส ผลกระทบจะตกอยู่กับอุตสาหกรรมเหล็ก ปูนซีเมนต์ อะลูมิเนียม ปุ๋ยและไฟฟ้าที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น
ที่สำคัญทุกครั้งที่มีการยุบสภาฯ หรือมีวิกฤติทางการเมือง บรรยากาศการทำงานของข้าราชการ มักจะอยู่ในสภาพปล่อย “เกียร์ว่าง” ดูทิศทางลมการเมือง ว่าจะไปทางไหน ตอนนี้งานทุกอย่างจึงชะลอออกไป ไม่มีการตัดสินใจนิ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะงานสำคัญที่มีความเสี่ยง โครงการสำคัญต่าง ๆ ต้องชะลอออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะทำเฉพาะงานที่เป็นงานประจำ งานเอกสาร เป็นต้น
เมื่อ “รัฐบาลเป็ดง่อย-ข้าราชการเกียร์ว่าง” ประชาชนทั่วไป รวมถึงภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศ “ขาดความเชื่อมั่นรัฐบาล” ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักลงพร้อม ๆ กัน ภาครัฐไม่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ นักลงทุนเอกชนก็ไม่กล้าทำอะไรไม่ลงทุน ไม่ขยายกิจการ ตอนนี้ภาคธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่มีใครลงทุนเพิ่ม จะถือเงินสดไว้หรือเอาไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทำให้ตัวเบาแทน จะรอจนกว่าการเมืองนิ่งเสียก่อน
จากการคาดการณ์ของหลายสำนัก ไตรมาส 4 GDP โตราว 0.6% และปี 68 ทั้งปี GDP ไม่เกิน 2% และในปีหน้าทั้งปี หลายสำนักคาดการณ์ GDP ไทยจะโต 1.6-2% เป็นการคาดการณ์ก่อนยุบสภาฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลกระทบจาก “ความวิปริตทางการเมือง” ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา หากการเมืองไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประเทศก็ยากจะหลุดพ้นการถอยหลังซ้ำซากนี้ได้
…………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุน : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC




















