หน้าแรกCOLUMNISTS‘พรรคประชาชน’เลือกทางรอด-ไปทางล้ม เดินหน้าลุย‘ม.112’หรือ‘ฟังกระแสสังคม’

‘พรรคประชาชน’เลือกทางรอด-ไปทางล้ม เดินหน้าลุย‘ม.112’หรือ‘ฟังกระแสสังคม’

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

กลับมาประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังหลายฝ่ายพยายามผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับ “ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ซึ่งถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง หลังถูกดองมาหลายปี แม้กระทั่งในสมัยรัฐบาลภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งถือว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็ไม่กล้าผลักดัน “กฎหมายล้างผิด” ให้มีผลบังคับใช้ จนถูกลากยาวมาถึงรัฐบาล ภายใต้การนำของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ที่เวลานี้นั่งควบ “รมว.วัฒนธรรม”

แต่สืบเนื่องจากที่มีบาดแผล มาจากการผลักดัน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย” สมัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ซึ่งมีเนื้อหา “ล้างผิด” ทั้ง “คดีทุจริต” และ “คดีอาญาร้ายแรง” จนนำมาสู่การ “ถูกต่อต้าน” ของม็อบภายใต้ชื่อ “กปปส.” และถูก “รัฐประหาร” ในที่สุด ทำให้ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ในเวลานี้ยังไม่กล้าเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยกลัวว่า “จะสะกิดแผลเก่า” ทำให้สังคมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ต้องยึดถือ ร่างของพรรคร่วมรัฐบาล “รวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.)

โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข และ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมี สส.และภาคประชาชน เสนอรวม 5 ฉบับ ได้แก่

-ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข เสนอโดย “วิชัย สุดสวาสดิ์” สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

-ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข  เสนอโดย “ปรีดา บุญเพลิง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม (กธ.)

-ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง เสนอโดย พรรคประชาชน (ปชน.)

-ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เสนอโดย “พูนสุข พูนสุขเจริญ” กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน

-ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข เสนอโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งเป็นฉบับที่เสนอเข้ามาใหม่ และยังไม่ได้บรรจุในระเบียบวาระ แต่ประธานในที่ประชุม อนุญาตให้นำมาพิจารณาในคราวเดียวกันได้  

สำหรับสาระสำคัญของกลุ่มร่างกฎหมาย ว่าด้วยการนิรโทษกรรมทางการเมืองนั้น พบว่า เนื้อหามีความคล้ายกันคือ การนิรโทษกรรมทางการเมือง โดยให้มีกรรมการกลางขึ้นมาพิจารณาบุคคลที่เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม

สำหรับคดีที่จะได้รับการนิรโทษกรรมนั้น มีความต่างและแยกเป็น 2 ฝั่งคือ ฉบับที่เสนอโดย “รวมไทยสร้างชาติ-กล้าธรรม-ภูมิใจไทย” ได้กำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนคือ “ไม่นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 แต่นิรโทษกรรมข้อหากบฏ ตามมาตรา 113”

ขณะที่ ฉบับของพรรคประชาชน และ ฉบับที่เสนอโดยภาคประชาชน ได้รวมถึง การนิรโทษกรรมคดี 112 ไว้ด้วย

ทั้งนี้ สาระสำคัญของกฎหมายมาตรา 112 คือ “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

รังสิมันต์ โรม

ในระหว่างมีการอภิปรายเสนอในแต่ละร่างฯ โดย “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า “การนิรโทษกรรมจำเป็นต้องเปิดกว้างให้มากที่สุด และไม่ต้องการเลือกปฏิบัติ ดังนั้นในร่างกฎหมายของพรรคประชาชน จึงไม่ได้กำหนดฐานความผิด หรือคดีตามมาตราใด ขณะที่ช่วงเวลาไม่ได้กำหนดเวลาสิ้นสุด เพราะที่ผ่านมา มีการใช้ “นิติสงคราม” เล่นงาน “ประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง” และใช้เครื่องมือกฎหมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่ที่รุนแรงที่สุดคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112”

“หลายฝ่ายพยายามบอกว่า หากรวมมาตรา 112 จะไม่โหวตให้ ผมมองว่า หากติดกรอบแบบนี้ สังคมจะคลี่คลายความขัดแย้งได้จริงหรือไม่ ผมขอให้ทบทวน เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางออกให้สังคมไทย” รังสิมันต์ กล่าวย้ำ

ด้าน “ภราดร ปริศนานันทกุล” สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เสนอเนื้อหาว่า “พรรคภูมิใจไทยแสดงจุดยืนว่า คนที่ละเมิดหรือทำผิดมาตรา 112 ไม่สามารถนิรโทษกรรมให้ได้ หากนิรโทษกรรมให้กลุ่มนี้ อาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ มีการชุมนุมเรียกร้องไม่จบหรือไม่ ทั้งนี้การตั้งหลักของพรรคคือ หากนิรโทษกรรมไม่ได้ทั้งหมด ต้องมีบางส่วนที่ได้รับประโยชน์ จำเป็นต้องตัดบางส่วนจากสมการ”

“เราควรต้องรอสังคมมีความพร้อมในบางกรณี อย่าทำให้บางกรณีพัวพัน ทำให้ทุกกรณีต้องตกขบวนไปด้วย เรามีตัวอย่างของความเจ็บปวดมาแล้ว กรณีของ “นิรโทษกรรมสุดซอย” ที่สังคมรับไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลสังคมค่อย ๆ ทำไป เพื่อที่จะให้มี “ผู้ได้รับอานิสงส์” จากร่างฉบับนี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ดันเข้าไป ถึงเวลาไม่ได้รับการนิรโทษกรรมสักคนเดียว แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์” นายภราดรระบุ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ และประธานสส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรค ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จำนวน 5 ฉบับว่า “เรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทยเคยเสนอไปแล้ว และมีการออกมาตั้งข้อสังเกตว่า จะช่วยคนนั้น-คนนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง เราเพียงแค่ต้องการให้การเมืองเดินหน้าไปได้ โดยไม่นิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตหรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เพื่อให้สามารถเดินไปได้ เราจึงถอนร่างของพรรคเพื่อไทยออกมา ทำให้ขณะนี้จะมีการพิจารณาอยู่ 5 ร่าง”

“วิสุทธิ์” กล่าวด้วยว่า “จุดยืนของเราชัดเจนว่า ไม่เอาร่างที่มีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 โดยจะยึดร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นหลัก เพราะเราต้องการให้กฎหมายฉบับนี้ ออกมาให้สำเร็จ เพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ช่วยคนที่โดนคดีจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองให้จบ…อย่าไปทะเลาะเบาะแว้ง เพราะความขัดแย้งทางการเมือง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ความเสียหาย จึงอยากให้นิรโทษกรรมให้จบ เราทำเพื่อเสริมสร้างสันติสุข เลิกแล้วต่อกัน และมาร่วมกันเดินหน้าประเทศ”

แต่ระหว่างการประชุมสภาฯพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิโทษกรรม “อดิศร เพียงเกษ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า “การนิรโทษกรรมเป็นเรื่องง่าย ๆ การให้อภัยเป็นเรื่องง่าย แต่ทำไมต้องทำเป็นเรื่องยาก คิดไม่เหมือนกันก็อภัยทานกัน พรรคเพื่อไทยเองก็เห็นว่า คุณประโยชน์จากการนิรโทษกรรมครั้งนี้จะมหาศาล จึงขอเรียกร้อง อยากให้บ้านเมืองนี้ไปได้จริง ๆ อย่าคิดเล็กคิดน้อย บ้านเมืองไม่สามัคคี จะไปพัฒนาภายนอกได้อย่างไร บุคลากรสำคัญที่สุด ลูก-หลานคิดต่าง แล้วติดคุก ถ้าเป็นลูกของคุณบ้าง จะอยู่อย่างไร นายกรัฐมนตรีหรือผู้มีอำนาจจะมีความสุขได้อย่างไร หากลูก-หลานคิดต่าง แล้วติดคุกโดยไม่ได้รับการอภัยโทษ…วันนี้เรามาทำบุญแบบยิ่งใหญ่กันดีไหมครับ ทำบุญทางการเมือง ให้ลูกหลานหรือคนที่เห็นต่างกันได้มีอิสรภาพ เพื่อมาพัฒนาชาติบ้านเมือง”

เลยทำให้ “บางฝ่าย” ตีความว่า “พรรคแกนนำรัฐบาลเล่นบทตีสองหน้า” ต้องการหาเสียงกับเยาวชนทีมีข้อหา 112 ติดตัวอยู่ ซึ่งเคยเคลื่อนในนาม “ม็อบราษฎร” โดยใช้สัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” ซึ่งก่อนหน้านี้ นักเคลื่อนไหวที่เป็นเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ล้วนเป็น “ฐานเสียง” ของ “พรรคสีส้ม” เคยมีการทำกิจกรรมร่วมกัน

ที่สำคัญช่วง “พรรคประชาชน” สมัยยังใช้ชื่อ “พรรคก้าวไกล” (ก.ก.) เข้าไปเคลื่อนไหวร่วมกับ “ม็อบราษฎร” อีกทั้งกำหนดการแก้ไขมาตรา 112 ไว้ในนโยบายหาเสียง โดยช่วงที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” รับบทแม่ทัพ แต่ในที่สุดผลพวงดังกล่าว ทำให้ “พรรคสีส้ม” ต้องเผชิญวิกฤติอย่างใหญ่หลวง ในระหว่างการโหวตคัดเลือกนายกฯในที่ประชุมรัฐสภา 

เพราะบรรดา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ส่วนใหญ่ไม่โหวตให้ความเห็นชอบ “พิธา” เป็นนายกฯ จนทำให้ในที่สุด “พรรคเพื่อไทย” ต้องตัดสินใจ “ฉีกข้อตกลง” ในการจัดตั้งรัฐบาลรวมกับพรรคก้าวไกล “หักหลัง-พลิกเกม” ไปตั้งรัฐบาลกับ “พรรคร่วมรัฐบาลเดิม” โดยรับบทแกนนำรัฐบาล และในที่สุดแคนดิเดตพรรคเพื่อไทย คือ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจาก “สว.สายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จนได้รับการโหวตเป็นนายกฯ ในที่สุด

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

แต่ที่หนักหนาสาหัสมากกว่านั้น ผลพวงจากการที่พรรคก้าวไกล ใช้นโยบายมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งในการเสียงเมื่อเดือนพ.ค.66 ก็มีคนไปร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) วินิจฉัยว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ และในที่ ศาล รธน.ก็มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ทำให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ “ชัยธวัช ตุลาธน” ต้องหมดอนาคตทางการเมืองไปชั่วคราว เป็นเวลา 10 ปี ถือว่า “พรรคสีส้ม” เสียหายมาก เพราะช่วงนั้น คะแนนความนิยมของ “พิธา” กำลังพุ่งสูงมาก ทำให้ส่งไม่ต่อให้ “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” มาถือธงนำ ในนามพรรคประชาชน…แทน  

ดังนั้นก็ต้องวัดใจว่า “พรรคสีส้ม” ซึ่งเคยมีบทเรียนในอดีต จะยังกล้าเล่น “ของร้อน” อีกหรือไม่??

เพราะดูเหมือน “พรรคประชาชน” จะหวังใช้เสียงในสภาฯในการช่วย “ล้างผิดมาตรา 112” โดยหวังพึ่ง “พรรคเพื่อไทย” ที่เคยเป็นพันธมิตรทางการเมืองร่วมกันมา ซึ่งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล คงไม่กล้าที่จะเสี่ยง ยอมรวมเรื่องการกระทำความผิด ที่เกี่ยวข้องกับ “สถาบัน” ไว้ในพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

อีกทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ยังต้องต่อสู้กับการ “ถูกร้องในมาตรา 112” ซึ่งอาจถูกตีความได้ว่า “ต้องการออกกฎหมายล้างผิดช่วย ทักษิณ อดีตนายกฯ” ซ้ำร้อยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

แม้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า และอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) สมัยเป็นนักวิชาการ มักออกความเห็นในเรื่องเกี่ยวกับ “สถาบัน” โพสต์ในโซเชียล ระบุถึงกรณีร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาฯว่า “เหตุที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจำนวนมาก ตั้งข้อรังเกียจกับการนิรโทษกรรมในความผิดการแสดงออกทางการเมือง โดยรวมความผิดตามมาตรา 112 ไปด้วยนั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอก นอกจาก “ยังไม่มีใบอนุญาตให้ทำ” จึงเกรงว่า หากทำลงไปแล้ว “จะถูกยึดใบอนุญาต” ที่ให้เป็นรัฐบาล หรือตัดโอกาสการได้ “ใบอนุญาต” ให้เป็นรัฐบาล ลองถ้ามีปาฏิหาริย์ มี “ใบอนุญาต” ให้นิรโทษกรรมขึ้นมาสิ ขี้คร้านจะกลับลำ 360 องศา จนคนดูงงไปตาม ๆ กัน”

เท่ากับว่า “ปิยบุตร” ไม่เคยเรียนรู้ “การเมืองไทย” อย่างดีพอ ที่นอกจากเสียงในสภาฯ ยังมีตัวแปรด้านอื่นที่มีความสำคัญ เช่นเดียวกับสมัยพรรคก้าวไกลได้เสียงข้างมาก แต่ในที่สุด ก็ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล เพราะไม่มีเสียง สว. สนับสนุน

ดังนั้นต่อให้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป “พรรคประชาชน” ได้เสียงข้างมาก แต่ถ้ายังมีนโนบายที่มีความละเอียดอ่อน ที่เกี่ยวข้องกับ “สถาบัน” ก็ยากที่จะมีใครหรือพรรคไหน…มาร่วมงานด้วย หรือต่อให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (250 เสียง)  แล้วขอแก้ไขมาตรา 112 โดยออกกฎหมายล้างผิดให้พวกกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ก็คงหนีไม่พ้นจะต้องมีคนไปร้องให้ “องค์กรอิสระ” ตรวจสอบ

อยู่ที่ “พรรคสีส้ม” จะเลือกเส้นทางไหน ระหว่าง “ยึดมั่นแนวทางและจุดยืนตนเอง” ที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น และกระทบกับจารีตประเพณี หรือหวังจะ “ได้อำนาจรัฐเพื่อพิสูจน์นโยบายของพรรค” เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ

ถือเป็นเรื่องที่สังคมต้องรอความเป็นไปของการเมือง โดยเฉพาะบทสรุปของ “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ว่า…เนื้อหาจะออกมาอย่างไร???

……………………………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….“แมวสีขาว”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img