การเลือกตั้งครั้งนี้สิ่งที่หลายคนหวาดกลัว ทั้งในเรื่องของ “ทุนเทา-ปัญหาสแกมเมอร์” ที่หลอกหลอนคนไทยแล้ว ยังมีสิ่งที่หลายคนกลัวอีกคือ กระแส “ประชานิยม” เกรงว่า หากพรรคการเมืองยังแข่งกันเดินหน้านโยบาย ลด-แลก-แจก-แถม เศรษฐกิจไทยอาจล่มสลาย คล้ายกับ “อาร์เจนตินา”
ทั้งนี้ “อาร์เจนตินา” มักถูกยกเป็นตัวอย่าง “ประเทศที่ล้มเหลวจากนโยบายประชานิยม” จนกลายสภาพความมั่งคั่งไปเป็นภาวะวิกฤติที่ยาวนานและยากจะเยียวยา
ปัญหาเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา หมักหมมมานานตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 จากการที่รัฐเพิ่มรายจ่ายอย่างต่อเนื่องในโครงการลด-แลก-แจก-แถม หาเสียงกับคนจน “ประชานิยมอาร์เจนตินา” เรื้อรังมายาวนานถึง 8 ทศวรรษตั้งแต่ในยุครัฐบาลประชานิยมของ “ฮวน โดมิงโก เปรอน” ปี 1946 ที่เอาใจประชาชนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมตามมา ไร้วินัยในการใช้จ่าย สร้างความเสียหายในระบบการคลัง ประเทศไม่เหลือเสบียงตุนไว้ในยามวิกฤติเศรษฐกิจ ภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด จนกลายเป็น “ระเบิดเวลา”
นอกจากนี้ อาร์เจนตินายังขาดดุลการค้ามหาศาล และเงินเฟ้อเพิ่มแบบก้าวกระโดด ช่องว่างระหว่าง “คนรวย” กับ “คนจน” ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก รัฐบาลต้องประกาศพักชำระหนี้ ค่าเงินเปโซจมดิ่ง ในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจ ประชาชนกว่าครึ่งประเทศยากจน คนว่างงานจำนวนมาก เงินออมที่สะสมมาทั้งชีวิต มลายหายไปพร้อมกับเกิดวิกฤตทางการเมืองในประเทศตามมา
ในระยะหลัง ๆ มี “งานวิจัย” หลาย ๆ ชิ้นชี้ให้เห็น “สัญญาณอันตราย” จาก “นโยบายประชานิยมของไทย” เริ่มคล้าย ๆ กับ “อาร์เจนตินา” เข้าไปทุกที

ตลอด 24 ปีเศรษฐกิจไทยล้มเหลว เพราะ “นโยบายประชานิยมแบบมักง่าย” ที่พรรคการเมืองใช้สร้างคะแนนนิยม ทำให้ไม่มีวินัยการเงินการคลัง จนหนี้สาธารณะพุ่งพรวดพราดเกือบ ๆ แตะเพดาน 70% ไม่เฉพาะนักเลือกตั้งเท่านั้นที่นำมาหาเสียงซื้อใจชาวบ้านระดับรากหญ้า แม้แต่ “รัฐบาลทหาร” ที่ทำการรัฐประหารคั่นเวลา ก็ยังนำนโยบายประชานิยม มาซื้อใจประชาชน
นับตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลไทยรักไทย ต้นตำรับหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 24 ปีที่ประเทศไทยติดหล่ม จมปลักอยู่กับ “นโยบายประชานิยม” ทุกวันนี้ยังขึ้นจากหล่มไม่ได้
ตลอดเวลา 24 ปีที่ประเทศไทยอยู่ในวังวนประชานิยม นานพอที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไปแล้ว หากย้อนไปในยุคไทยรักไทย ที่จุดประกายประชานิยม จนชนะใจประชาชนถล่มทลาย เช่น กองทุนหมู่บ้าน ที่อัดฉีดเงินสู่รากหญ้า นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายปฏิวัติระบบสาธารณสุข นโยบาย OTOP ที่เป็นการจ้างงานในชนบท บางนโยบายจะประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน แต่ก็ไปเบียดบังงบประมาณ ทำให้ไม่มีเม็ดเงินไปลงทุนในด้านอื่น ๆ และยังเป็นนโยบายที่สร้างภาระงบประมาณและสร้างหนี้มาสู่คนรุ่นหลัง
ขณะเดียวกันประชานิยมหลาย ๆ นโยบายได้สร้างความเสียหายให้กับงบประมาณแผ่นดินมหาศาล เช่น โครงการจำนำข้าว ในสมัยนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่บิดเบือนกลไกตลาด นำไปสู่ภาระการคลังมหาศาล โดยประเมินความเสียหายราว 4-9 แสนล้านบาท และยังมีการทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนโครงการรถคันแรก ก็เป็นชนวนที่ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาระในปัจจุบัน
นโยบายประชานิยมจะเริ่มในสมัยไทยรักไทยจนได้รับความนิยม กลายเป็นวัฒนธรรมเลียนแบบ หลายพรรคก็ใช้นโยบายประชานิยม มาใช้ในการสร้างคะแนนนิยม เช่น นโยบายประกันราคาข้าว ประกันราคาพืชผลเกษตรอื่น ๆ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ดิจิทัลวอลเล็ต ล่าสุด นโยบายคนละครึ่งพลัส แม้แต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็ยังต้องใช้นโยบายประชานิยม เช่น โครงการคนละครึ่ง, สวัสดิการแห่งรัฐ, มาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 เป็นต้น
อีกแค่เดือนกว่า ๆ ประเทศไทยก็จะเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงถดถอยกว่าทุกปี เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสะดุดทุกตัว อีกทั้งยังเป็นช่วงสุญญากาศ มี “รัฐบาลชั่วคราว” บริหารประเทศหลังจากที่ “รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” ยุบสภาฯ ต้องรอรัฐบาลใหม่ คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า จึงค่อนข้างแน่ชัดว่าปีนี้ GDP ของไทยจะโตไม่เกิน 2.2% และปีหน้าจะยิ่งหนักคาดว่าอาจจะโตแค่ 1.6% เท่านั้น

กลยุทธ์การการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ คาดว่า พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็คงจะงัด “นโยบายประชานิยม” ออกมา “เกทับบลัฟแหลก” กันดุเดือด ตอนนี้บางพรรคเริ่มปล่อยออกมา เช่น“พรรคเพื่อไทย” ออกนโยบายใหญ่โต แก้หนี้นอกระบบด้วยการให้สินเชื่อรายละ 5 แสนบาท ดอกเบี้ยต่ำโดยไม่มีหลักประกัน ไปโปะหนี้นอกระบบ ส่วนคนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ไม่เกิน 2แสนบาทจ่ายเพียง 10% หรือ 20,000 บาทปิดหนี้ได้ หนี้เกษตรกรพักเงินต้นดอกเบี้ย 3 ปีวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาทหรือนโยบายล้างหนี้วัยเกษียณ เป็นต้น
นับจากนี้ “พรรคภูมิใจไทย-พรรคประชาชน-พรรคประชาธิปัติย์” คงจะทยอยออกนโยบาย เพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมคงไม่พ้นนโยบายประชาชนิยมเช่นกัน จนหลายคนเป็นห่วงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นเส้นทางนำไปสู่ “หายนะทางเศรษฐกิจ” จริง ๆ และเริ่มมีสัญญาณบ้างแล้ว สะท้อนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน
เหนือสิ่งใด พลังสำคัญที่จะหยุดยั้ง “ประชานิยม” คือ “พลังประชาชนคนไทยทุกคน” รณรงค์ต่อต้าน “พรรคการเมืองมักง่าย” ที่นำเสนอนโยบายประชานิยม เพื่อไม่ให้สร้าง “มรดกหนี้” ไปสู่ “คนรุ่นหลัง”
…………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุน : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC




















