OCA หรือ เขตพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีป เกิดเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวทับซ้อนกันมานานมากกว่า 50 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลทั้งสองประเทศต่างต้องการเข้าไปสำรวจหาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมในบริเวณดังกล่าว
ซึ่งมีเนื้อที่ทางทะเลประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้สิทธิสัมปทานปิโตรเลียมแก่บริษัทเอกชน แล้วก็เกิดเป็นพื้นที่สัมปทานทับซ้อนด้วย แต่ทุกอย่างก็หยุดอยู่กับที่มาหลายสิบปี แม้จะมีความพยายามในการตั้งโต๊ะเจรจามาตลอดทุกรัฐบาล หลายคนมองว่า น่าจะก้าวหน้าได้ใน “รัฐบาลตระกูลชินวัตร” แต่เปล่าเลย เรื่องนี้ยิ่งกลายเป็น “เชื้อไฟ” ให้รัฐบาลคลอนแคลนมาโดยตลอด
การยกเรื่อง OCA ขึ้นมาอีก คงทำให้รัฐบาลจบเห่เร็วขึ้น
ทำไมเมื่อเป็นเรื่องยากทุกรัฐบาล และทุกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นใคร OCA จะถูกหยิบยกมาดูกันเป็นระยะ ๆ ก็ด้วยศักยภาพทางปิโตรเลียมที่มหาศาลนั่นเอง ดังนั้นลึก ๆ แล้ว ทั้งสองประเทศต่างต้องการนำปิโตรเลียมในบริเวณนี้มาใช้ประโยชน์

“ดร.คุรุจิต นาครทรรพ” ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียม และพลังงานแห่งประเทศไทย อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลไว้ว่า “ในแง่ทางวิชาการพื้นที่บริเวณนี้ตั้งอยู่บนแอ่งธรณีวิทยาที่เรียกกันว่า Pattani Basin ซึ่งมีศักยภาพที่จะพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและแหล่งน้ำมันดิบในจำนวนและขนาดปริมาณสำรองที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่เคยสำรวจพบมาแล้วที่อยู่ในเขตทางทะเลของไทยกว่า 20 แหล่ง ได้แก่ แหล่งเอราวัณ สตูล ปลาทอง ทานตะวัน และเบญจมาศ เป็นต้น”
ส่วนศักยภาพจริง ๆ จะเป็นเท่าไหร่นั้น คงไม่มีใครบอกได้ชัด เพราะยังไม่เคยมีการสำรวจกันมาก่อน แต่เป็นแหล่งที่มีศักยภาพแน่นอน ซึ่งนักลงทุนยักษ์ใหญ่ด้านการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมทั่วโลกต่างก็ต้องการขอเอี่ยวมาทำสัมปทานตรงนี้
ในส่วนของไทยเอง ทราบดีว่า เราต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานของโลกจากพลังงานแบบเดิมที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งก๊าซฯย่อมมีบทบาทต่อไปอีกหลายสิบปี
ปัจจุบันสัดส่วนเราใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 59.9% (ผลิตในระบบของกฟผ.ณ 30 มิถุนายน 2568) และเมื่อก๊าซฯ จากอ่าวไทยลดลงไปเรื่อย ๆ การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ย่อมมีบทบาทแทนที่ตอนนี้เราผลิตไฟฟ้าจาก LNG อยู่ในสัดส่วน 37% (รอบการผลิตไฟฟ้าช่วงพฤษภาคม-สิงหาคม 2568) ซึ่งราคาผันผวนตามกลไกตลาดปัจจุบัน 13-14 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียูจากปี 2565 ช่วงเกิดสงครามรัสเซียยูเครนพุ่งไปถึง 26 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ทำให้เกิดภาระในการตรึงค่าไฟฟ้ามากกว่าแสนล้านบาทซึ่งบัดนี้ภาระก้อนนี้แม้ลดลงแต่ยังไม่หมดไปเหลืออยู่ 81,000 ล้านบาท
“ดร.คุรุจิต” ยังให้ข้อมูลไว้อีกว่า “ในมุมมองนักวางแผนราคาก๊าซฯ ที่ขุดพบในประเทศมีสูตรราคาระยะยาวที่อ้างอิงกับราคาน้ำมันเตาและขยับราคาช้ากว่าการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบ จึงเป็นราคาที่เหมาะสมและยอมรับได้มากกว่าราคาตลาดจรของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Spot Prices)”

ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นที่มาว่าไม่ว่ายุคไหนเราหวังที่จะไปพัฒนาแหล่งก๊าซฯใน OCA โดยตลอด เพราะในเชิงยุทธศาสตร์แล้วประเทศ จำเป็นต้องแสวงหาแหล่งพลังงานเป็นของตนเองไม่เช่นนั้นก็ต้องไปพึ่งการนำเข้าซึ่งมีความเสี่ยงทั้งปริมาณและราคาท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้าง “ความไม่แน่นอน” ในสังคมโลกเวลานี้
แม้ว่าตอนนี้จะมีปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างไร ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาพลังงาน ก็ยังหวังว่า จุดเดือดนี้อาจทำให้เกิดการเคลียร์ในประเด็นนี้ด้วย และนานาประเทศที่ต้องการให้การพัฒนาพื้นที่นี้เกิดขึ้น อาจขันอาสาเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาก็เป็นได้
วงการพลังงานมองว่า เมื่อใดมีการเจรจาเรื่องนี้ MOU 2544 ต้องมี เพราะเป็นกลไกการเจรจาเดียวที่เป็นกรอบที่ชัดเจนช่วยให้การเจรจาเริ่มต้นได้ ซึ่ง MOU 2544 แบ่งเป็น 1.การเจรจาเพื่อพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน และ 2.การเจรจาเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่ากำหนดกันมาของสองประเทศตั้งแต่ปี 2544 ที่ต้องทำสองเรื่องนี้ควบคู่กันไป
จุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 เมื่อเดือนพฤภาคม 2554 เรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา โดย “ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค เป็นผู้ลงนามใน MOU 2544 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ได้ระบุไว้ว่า…
“แม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจาที่จะมีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตททางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุดก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบัน (ณ ขณะนั้น) ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด ดังนั้นแผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจ เพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรรับอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆเกาะกูดอีกด้วย”
ในข้อเขียนของ “ดร.สุรเกียรติ์” ยังระบุว่า MOU 2544 ก่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายไทย ดังนี้ เป็นบันทึกความเข้าใจที่มีสาระสำคัญหลัก คือ
1.จัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการเจรจาเพื่อยกร่างความตกลงเกี่ยวกับการสำรวจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม และยกร่างความตกลงเกี่ยวกับการปักปันเส้นเขตทางทะเล และไม่ใช่เป็นการตกลงกันเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล (ทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ)
2.ทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดจากการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าอันอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งรุนแรงจนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่กระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างทั้งสองประเทศระหว่างวัน สามารถแก้ไขร่วมกันได้ด้วยการเจรจาแบบสันติวิธีและแยกเป็นเอกเทศจากปัญหาความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ โดยให้นำความเห็นหรือท่าทีที่แตกต่างกันในเรื่องการลากเส้นเขตทางทะเลและการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนนั้นมาสู่เวทีของการเจรจาทางด้านเทคนิค หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการแปรข้อขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือ (turn conflict into co-operation) ซึ่งก็เป็นวิธีการในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศในเรื่องทับซ่อนทางทะเลที่ประเทศจำนวนมากในโลกปัจจุบันใช้กัน
3.ได้ผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Area) หรือบันทึกความเข้าใจนี้เรียกว่าพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area ) กับการเจรจาเส้นแบ่งเขตทางทะเล (Maritime Boundary Delimitation) เอาไว้ด้วยกันโดยได้ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการเจรจาทั้งสองเรื่องนี้แยกต่างหากจากกันมิได้ (Indivisible Package) กล่าวคือจะต้องเจรจาพร้อมกันไปดังที่ระบุไว้ในข้อ 2 วรรค 2 ของบันทึกความเข้าใจนั้น
โดยข้อเขียนของ “ดร.สุรเกียรติ์” ระบุถึงเหตุผลของการผูกสองประเด็นนี้เข้าไว้ด้วยกันว่า “ผลประโยชน์ที่สำคัญของไทยที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ ความชัดเจนในจุดเริ่มต้นของการลากเส้นเขตทางทะเล ดังนั้นในแง่มุมของการเจรจาแล้ว ฝ่ายไทยจึงได้อาศัยความต้องการของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องการเร่งรัดการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นปัจจัยในการผลักดันให้การเจรจาเส้นเขตทางทะเลมีความคืบหนาและเป็นที่ตกลงกันได้ของทั้งสองฝ่ายโดยเร็วเช่นกัน “
“ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ หากไม่มีการผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมกับการเจรจาพื้นที่ที่ต้องการแบ่งเส้นเขตทางทะเลเอาไว้ให้ต้องดำเนินการเจรจาควบคู่กันไปแล้ว ก็มีข้อห่วงกังวลว่ากลุ่มเศรษฐกิจการเมืองอาจเข้ามามีบทบาทและผลักดันจนทำให้การตกลงในเรื่องการพัฒนาร่วมเกิดขึ้นได้โดยง่าย โดยอาจทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียอำนาจต่อรองในการเจรจาเรื่องเเขตแดนกับกัมพูชา”
ทั้งนี้ ก็เพราะว่าตามรัฐธรรมนูญ 2540 ปีที่มีการลงนามนั้น และมาถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันกำหนดให้การทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ 4 ลักษณะต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติด้วยหมายถึงต้องเข้ารัฐสภา สองในสี่ลักษณะของหนังสือสัญญาที่ต้องเข้ารัฐสภา ได้แก่ 1.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย และ 2.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ดังนั้นการผูกสองเรื่องเข้าไว้ด้วยกันของทีมเจรจาที่กำหนดไว้ใน MOU 2544 จึงทำให้ไม่สามารถรวบรัดทำการตกลงที่มีผลเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์เหนือทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล แม้จะมีการตกลงในรายละเอียดแล้วก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ เพราะต้องเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบควบคู่กับความตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตทางทะเล
ซึ่ง ดร.สุรเกียรติ์ เขียนไว้ในจุลสารความมั่นคงศึกษา ตอนหนึ่งว่า “มีการเจรจากันอย่างหนักหน่วงและยากลำบาก เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่เห็นดัวยให้มีการผูกสองเรื่องเข้าไว้ด้วยกัน”
4.MOU 2544 เป็นหลักฐานแสดงที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชา (ในตอนนั้น) ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูดตามแผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจ ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907
5.MOU 2544 ได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969
หลายคนอาจบอกว่า “เกาะกูดเป็นของไทยอยู่แล้วไม่มีประเด็น” จริงหรือ? เพราะตามข้อเขียนในจุลสารของดร.สุรเกียรติ์ ได้เล่าถึงช่วงการเจรจา เพื่อให้มี MOU 2544 ตอนหนึ่งว่า “ฝ่ายกัมพูชาตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสจนถึงระดับสูงได้กล่าวถึงเกาะกูดว่าอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของเกาะกูดอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาอยู่เนือง ๆ”
โดยตอนนั้นไทยยึดมั่นในการลากเส้นเขตแดนจากหลักเชตแดนที่ 73 ลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง ซึ่งจะไม่ลากผ่านเกาะกูด แต่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่าจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชาก่อน แต่ ดร.สุรเกียรติ์ ได้พ้นตำแหน่งประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน
ดังนั้นมาบัดนี้ท่ามกลางการปะทะชนิดมองหน้ากันได้ยากระหว่างไทยและกัมพูชา การเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2544 เสียคราวนี้ ต้องคิดอย่างรอบคอบรอบด้านบนผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ การมีและไม่มี MOU 2544 แบบไหนดีกว่ากันกับไทยจริง ๆ เพราะข้อเรียกร้องบางอย่างอาจไปเข้าทางใครก็ได้ทั้งสิ้น…ก็ขนาดมีข้อตกลงยังไม่มีสัญญาในหมู่โจร ยิ่งไม่มีข้อตกลงใด ๆ ไว้เกาะเกี่ยวเราอาจเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ
……………………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)












