หน้าแรกCOLUMNISTSปัญหาชายแดน“ไทย-กัมพูชา”…วิกฤติ “แก้ไม่จบ”ชาวบ้านจำ“ต้นเหตุ”จนตาย

ปัญหาชายแดน“ไทย-กัมพูชา”…วิกฤติ “แก้ไม่จบ”ชาวบ้านจำ“ต้นเหตุ”จนตาย

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สถานการณ์การปะทะกันที่ชายแดนไทยและกัมพูชา ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ กำลังกลายเป็น “พายุเศรษฐกิจลูกใหม่” ที่ถาโถมเข้าใส่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

แม้พื้นที่ปะทะ จะเกิดขึ้นในบริเวณจำกัด ไม่กี่จังหวัดก็จริง แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น ที่คนทั้งประเทศต้องได้รับ…“ผลกระทบ” ตามไปด้วย

ขณะเดียวกัน “ต้นเหตุ” ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถปฎิเสธความจริงได้ว่า มาจาก “สถานการณ์การเมือง” ล้วน ๆ ที่เป็นชนวนใหญ่ จนทำให้เหตุการณ์บานปลายลุกลาม

จนเวลานี้…ต้องทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหาร ต้องสูญเสียชีวิต ต้องได้รับบาดเจ็บ ต้องทุพพลภาพ ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้รู้เรื่องใด ๆ กับต้นเหตุของความรุนแรง

หลายครอบครัว ต้องสูญเสียทรัพย์สิน สูญเสียที่อยู่อาศัย ที่สำคัญ! ยังสูญเสียขวัญ กำลังใจ รวมไปถึง ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่เป็นจุดปะทะระหว่างกัน

แม้เวลานี้ สถานการณ์ยังคุกรุ่น ยังประเมินความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ได้ชัดเจนมากนัก เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิด  และไม่รู้ว่าจะเกิดไปอีกนานเท่าใด

“ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า “เวลานี้ ไทยมีการค้าผ่านแดนกับกัมพูชา ผ่านจุดผ่านแดนถาวรหลัก ๆ 5 ด่าน ประกอบด้วย ด่านอรัญประเทศ, คลองใหญ่, ช่องจอม, จันทบุรี และช่องสะงำ  ถ้าทั้ง 5 ด่านสำคัญนี้ ต้องถูกปิดไป ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่องเศรษฐกิจไทยเดือนละประมาณ 11,000 ล้านบาท ทั้งหลายทั้งปวง หากเหตุการณ์ยังยืดเยื้อ ต่อไปอีกจนถึงสิ้นปี ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 55,000 ล้านบาท เข้าไปแล้ว”

เพราะเวลานี้ นอกจากจะทำการค้าขายตามแนวชายแดนไม่ได้แล้ว บรรดาสถาบันการเงินในเขตพื้นที่เสี่ยง ทั้งธนาคารกรุงไทย ก็ประกาศปิดสาขาในพื้นที่ไปแล้ว 14 สาขา

ขณะที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก็ประกาศปิดสาขาในพื้นที่ ไปแล้ว 9 สาขา โดยปิดเป็นการชั่วคราวก่อน

เช่นเดียวกับ ปั๊มน้ำมัน PTT Station ของ OR ที่ออกมาประกาศปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว ในพื้นที่ รวม 8 แห่ง เพื่อความปลอดภัย

นั่นเท่ากับว่า… การใช้ชีวิตของชาวจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ย่อมไม่เหมือนเดิม การทำธุรกิจการค้าการขาย ก็ไม่เหมือนเดิม เช่นกัน หากเหตุการณ์ยังไม่จบ!! ยังไม่สงบ!!

หันมาที่ภาคเอกชนที่ทำมาค้าขาย ทั้งตามแนวตะเข็บชายแดน ทั้งในประเทศกัมพูชา ที่ต้องเผชิญความเสี่ยงมานานถึง 6 เดือน หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศแปรเปลี่ยนไป จาก “เพื่อนรัก-เพื่อนสนิท” กลายเป็น “ศัตรู”

แม้เวลานี้ภาคเอกชน ต้องดิ้นรน ช่วยเหลือตัวเอง โดยต้องเปลี่ยนเส้นทางในการส่งสินค้าไปยังกัมพูชา หรือบางรายต้องปรับเปลี่ยนจากเคยส่งทางบก ก็เป็นทางอากาศ หรือทางเรือแทน

“วรทัศน์ ตันติมงคลสุข” ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา บอกว่า “เวลานี้สถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรดีขึ้น”

ที่สำคัญ!! จากปัญหาอุปสรรค ก็ทำให้มูลค่าการค้าการขายก็หายไปแล้วอย่างน้อยวันละ 500 ล้านบาท ซึ่งเวลานี้ก็ผ่านไปแล้ว 6 เดือน ก็ยังเป็นเหมือนเดิม

ขณะที่มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ในช่วง 5 เดือน ของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) พบว่า มีมูลค่ารวม 80,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 11.22%

โดยไทยยังคงได้ดุลการค้าประมาณ 45,433 ล้านบาท เพราะนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา มาเพียง 17,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.92%  ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกวัตถุดิบทางการเกษตร

ส่วนการส่งออกสินค้าไปขายในกัมพูชา มีอยู่ประมาณ 63,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 8.99% ส่วนใหญ่เป็นพวกสินค้าอุปโภค บริโภค

ปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ในเวลานี้ หากยังไม่ยุติโดยเร็ว ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจไทยยิ่งบอบช้ำเพิ่มมากขึ้นไปอีก แบบชนิดที่เรียกว่า…“ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก”

เหนือสิ่งอื่นใด!! หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำให้เหตุการณ์นี้ยุติลงไปได้ เชื่อเถอะ…ความทรงจำของคนชายแดนเหล่านี้ คงจดจำ “ต้นเหตุ” ไปจนวันตาย!!

………………………

คอลัมน์ : EC Focus by Virgo

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img