หนึ่ง…ในนโยบายสำคัญของ “รัฐบาลเพื่อไทย” คือเรื่องของการ แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา…การขึ้นเวทีทอล์กของผู้กำกับรัฐบาลตัวจริงเสียงจริงอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ในทุก ๆ เวที จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา “หนี้” ทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปลายเดือนส.ค. ปีที่แล้ว ที่ “ส.ท.ร.(เสือกทุกเรื่อง)-ทักษิณ” ได้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยและประเทศไทยติดกับดักหนี้ ทำให้เดินไม่ออก โดยหนี้สินของรัฐ แก้ไม่ยาก ถ้าทำให้จีดีพีโตได้ และถ้าขยายฐานภาษีจะทำให้สัดส่วนจีดีพีดีขึ้น
ขณะที่หนี้ครัวเรือนของประชาชน 91% ของหนี้ ส่วนใหญ่คือ บ้าน รถยนต์ และไม่ต้องการเห็นคนไทยถูกยึดบ้าน และถูกยึดรถที่ต้องขับไปทำงาน
หรือในการขึ้นเวทีหาเสียงช่วยผู้สมัครอบจ.ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็จะบอกอยู่เสมอว่า บ้านเราหนี้ประชาชนสูง หนี้ประเทศสูง ขอเวลาอีก 2 ปี หนี้ประเทศจะลดลง
หรือจะเป็นเวที “เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก ผ่าทางตันประเทศไทย” หรือ เวที “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย” อดีตนายกรัฐมนตรี ก็จะหยิบยกประเด็นปัญหาเรื่อง “หนี้” ขึ้นมาให้เห็น พร้อมเสนอทางออก ทางแก้ไข ในหลากหลายรูปแบบ
รวมทั้งการนำเสนอ การจัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี-AMC) ภาคประชาชน ซึ่งเป็นการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ โดยรับซื้อหนี้ประชาชนมาบริหาร ไม่ได้ฝากไว้ที่สถาบันการเงินต่าง ๆ

เรื่องนี้…แม้จะสอดคล้องกับแนวความคิดของกระทรวงการคลัง ที่เคยออกมาโยนแนวคิดเรื่องการจัดตั้ง “เอเอ็มซี-AMC” เพื่อรับซื้อหนี้เสียของประชาชนรายย่อย จากสถาบันการเงินมาบริหาร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
แต่!! ปรากฎว่า อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่า กระทรวงการคลังยังไม่ตอบโจทย์เท่าใดนัก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าไม่ทำ คนไทยทั้งชาติก็จะหายใจไม่ได้ กำลังซื้อก็จะไม่กลับมา
ปัจจุบัน “หนี้ครัวเรือน” ล่าสุดในไตรมาสแรก ปี 68 พุ่งทะยานแตะไปถึง 16.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 87-88% ต่อจีดีพี แม้จะลดต่ำกว่า 90% มาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เคยทะยานขึ้นไปถึง 95.5% ต่อจีดีพี เมื่อไตรมาสแรกของปี 64 หลังไทยต้องเผชิญสถานการณ์โควิด 19 ระบาด จนต้องปิดประเทศ
ในความเป็นจริงแล้ว แม้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนจะลดลงไปก็ตาม แต่หากพิจารณาถึงโครงสร้างของหนี้ครัวเรือนในไทยแล้ว ยังเห็นได้ว่าเรื่องของวิกฤตหนี้ยังคงมีอยู่และในบางส่วนบางเรื่อง ยิ่งทวีความเปราะบางเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
ด้วยเพราะ… ปัญหาหนี้เสียหรือเอ็นพีแอล ยังคงมีอยู่ที่ระดับ 1.19 ล้านล้านบาท โดยมีลูกหนี้อยู่มากถึง 5.15 ล้านคน หรือประมาณ 9.13 ล้านบัญชี
แต่เมื่อลงลึกดูเฉพาะหนี้เสียที่มีมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทนั้น ก็พบว่ามีถึง 1.2 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10% ของเอ็นพีแอลทั้งหมด โดยกระจายอยู่ในมือของลูกหนี้มากกว่า 3.28 ล้านคน หรือประมาณ 4.44 ล้านบัญชี
ด้วยเหตุนี้ แม้หนี้ครัวเรือนจะลดลงต่อเนื่อง หรือลดต่ำกว่า 90% แต่ก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เช่นกัน เพราะคนไทยกว่า 3 ล้านคน ก็ยังแก้หนี้ไม่ได้เช่นกัน

อย่างที่บอก… เรื่องการจัดตั้ง “เอเอ็มซี-AMC” ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องที่ “ทักษิณ” พูดมาโดยตลอด หากไม่รีบทำ ก็จะยิ่งทำให้คนไทยทั้งชาติหายใจไม่ออก ซึ่งแนวทางการทำก็ไม่ยาก สามารถใช้กฎหมายการจัดตั้งเอเอ็มซีที่มีอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญ!! คือการบริหารจัดการต้องไม่ใช้แนวนโยบายของแบงก์ หรือ “สถาบันการเงิน” มาดำเนินการ เพราะเป็นคนละเรื่อง ต้องใช้คนบริหารคนละกลุ่ม เพราะเป้าหมายต่างกัน
หากเข้าไปดูไส้ใน หรือดูนโยบายของกระทรวงการคลังแล้ว จะเน้นไปที่ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่สถาบันการเงินได้ตั้งสำรองหนี้เสียไว้ทั้งหมดแล้ว จึงทำให้ไม่ต้องใช้งบประมาณเข้าไปสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการจัดตั้ง “เอเอ็มซี-AMC” เพื่อนำหนี้เสียมาบริหาร นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตั้งแต่เกิดเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ที่มีหนี้เสียสูงถึง 52.3% ของสินเชื่อรวม ก็มีการจัดตั้งเอเอ็มซี มากกว่า 10 แห่งอยู่แล้ว
โดยส่วนใหญ่ก็เป็นการซื้อหนี้จาก “ธนาคารแม่” แยกออกไปบริหารจัดการเฉพาะ จากนั้นก็มีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ขึ้นมาเพื่อซื้อหนี้ก้อนใหญ่ราว 7.8 แสนล้านบาท ไปบริหารเพื่อฟื้นฟู จนปิดจบหนี้
แม้จุดเป้าหมายของ “เอเอ็มซี-AMC” จะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารหนี้เสียประชาชน หรือหนี้เสียของภาคเอกชน หรือของสถาบันการเงินก็ตาม
แต่การบริหารจัดการนั้นต้องแตกต่างกัน ซึ่งต้องมาดูว่าสุดท้ายแล้ว ความพยายามของอดีตนายกฯ ที่พูดในทุกเวทีเพื่อให้คนไทยมีลมหายใจต่อไปได้ จะติดลมบนได้แค่ไหน?
………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo



















